วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หัดเดินโดยไม่ใช้สายจูง


หูย..ขอบอกว่างานนี้ถือเป็นภารกิจระดับชาติกันเลยทีเดียว เพราะการจะปล่อยยัยกะทิให้ออกมาเดินแด่มแด้มได้โดยปราศจากสายจูงนี่ เป็นภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญหายขั้นสูงสุด >0</

หลังจากที่อิชั้นพยายามพายัยกะทิออกเดินนอกออฟฟิศโดยสวมเชือกไหมพรมเส้นยาว ๆ ผูกคอเอาไว้กันเหนียวซะเส้นนึง แล้วก็พยายามตามใจยัยนี่ ด้วยการพาเดินไปทุกที่ที่มันอยากเดิน (ยกเว้น บนกำแพงรั้วตึก Y.Y) มาร่วมสองอาทิตย์ อิชั้นก็พยายามกระเถิบเลื่อนเลเวลให้ โดยการปลดสายจูงออกจากคอ แล้วก็พายัยกะทิมาเดินกักบริเวณอยู่ในพื้นที่ที่กว้างกว่า อย่างเช่น ในล้อบบี้รับแขก


"อาไยนะ จิ่ให้หนูออกไปเดินโดยไม่สวมเชือกจูงจริงเหยอ"


พูดแล้วไม่คืนคำฮ่ะ ด้วยความที่ต้องการฝึกยัยกะทิให้คุ้นเคยกับการเดินเที่ยวเล่น ภายในบริเวณตึกได้ โดยไม่วิ่งเตลิดไปยั้นไหนต่อไหน เริ่มต้นจากการสวมเชือกจูงเดิน จนกระทั่งมาถึงสเต๊ปที่สอง ถอดเชือกจูงออก แต่กระนั้นก็ยังต้องกักบริเวณ โดยสามารถเดินไปเดินมาในห้องโถงใหญ่ของล็อบบี้ได้อย่างอิสระเสรีมากขึ้น


มัวนั่งแปะอยู่กงนั้นทำไม..ตามมาสิยะนังทาส... T^T


"กะทิยอดนักสำรวจ" ตรวจแม่มมม..มันทุกที่


ท่าทางลั้นลาน่าดู


ทั้งดม..ทั้งตะกุย..


..ทั้งกลิ้งเกลือก..


เห็นท่าทางยัยลิงกะทิมีความสุขกับการได้เดินไปไหนมาไหนตามใจชอบในบริเวณที่กว้างขึ้น อิชั้นก็พลอยมีความสุขไปด้วยฮ่ะ คราวหน้าเลื่อนขั้นให้อีกสักนิด..เราจะลองพายัยกะทิออกมาเดินเล่นรอบตึกโดยไม่สวมสายจูงกันดูบ้างนะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai



ฝึกลิงให้เป็นแมว


กฎเหล็กอย่างนึงของการพายัยกะทิออกไปเดินนอกออฟฟิศ หรือเดินนอกห้องก็คือ..ต้องหาเชือกหรือสายจูงคอยคล้องคอมันไว้เสมอฮ่ะ..

บางคนบอกจะไปผูกเชือกมันไว้ทำม๊ายย..ก็ปล่อยให้มันเดินแล้วคอยเฝ้ามันไว้ซะหน่อยก็สิ้นเรื่อง โถ..คุณขา ถ้าอิชั้นทำได้อิชั้นทำไปแล้น แต่นี่จากประสบการณ์ที่ได้รับหลายครั้งหลายครา นับตั้งแต่รับตัวมันมาไว้ที่ตึกใหม่ ๆ พอหลุดจากมือคนปั๊บ..พี่กะทิก็วิ่งหนีเข้ารกเข้าพงปุ้บ..อิชั้นละเข็ดสุด ๆ คือ..จริง ๆ มันก็พร้อมจะหนีได้ทุกเมื่อล่ะ ตราบใดที่มีคนเผลอ แต่ไอ้ครั้นจะกักบริเวณให้อยู่แต่เฉพาะในกรงหรือเฉพาะในห้องแคบ ๆ อย่างในออฟฟิศ ไม่ได้ออกไปเดินดมดอกไม้ใบหญ้า หรือสบตากับดวงตะวันเลยสักนิด มันก็ดูจะโหดร้ายเกินไปหน่อย อย่ากระนั้นเลย เรามาฝึกยัยกะทิให้สามารถเดินเที่ยวเล่นภายในบริเวณตึกได้ โดยไม่ต้องคอยวิ่งไล่ตามจับกันดีกว่า..

อันดับแรกที่ต้องทำก็คือ...หาสายจูงฮ่ะ..หลาย ๆ คนที่พาสัตว์เลี้ยงของตัวเองเดินเล่น ส่วนมากก็จะใช้สายจูงชนิดแข็งแรงเหนียวหนึบกันทั้งนั้น ด้วยเหตุว่า หากเกิดการวิ่งกระชากลากถู อิ่คนลากจูงจะได้วิ่งหน้าทิ่มตามสัตว์เลี้ยงของตัวเองไปด้วย..แต่เคสของยัยกะทินี่..อิชั้นไม่ใช้สายจูงอย่างที่ว่านั้นหรอกนะฮะ แต่อิชั้นใช้สายจูงชนิดที่มันไม่น่าจะใช่สายจูงอ่ะ นั่นก็คือ ใช้ไหมพรมเส้นใหญ่ที่เค้าเอาไว้ถักหมวกถักผ้าพันคอแทน สาเหตุที่ต้องใช้ไหมพรมแทนสายจูงเส้นโต ๆ นั้นก็มีเพียงสถานเดียวค่ะ นั่นก็คือ อิชั้นไม่อยากให้ยัยกะทิรู้สึกว่ากำลังถูกจำกัดการเดินของตัวเอง เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่รัดรึงหรือบังคับใจมันอยู่ จะต้องมีน้ำหนักเบา และไม่ทำให้มันรู้สึกเหมือนกำลังถูกมัดเอาไว้ แต่ก็ยังต้องมีความเหนียวอยู่พอสมควร เพื่อที่จะได้สามารถรั้งตัวมันไว้ได้พอสมควร หากเกิดวิ่งเตลิดแหกคอกออกไปจริง ๆ

เมื่อได้สายจูงแล้ว ก็พายัยกะทิออกไปเริงร่ากันเถอะ


ที่แรก ๆ ที่พายัยกะทิออกไปเดินก็คือบริเวณบ่อน้ำพุสองบ่อบริเวณทางเดินเชื่อมตึกอ่ะ บ่อน้ำตรงนี้เลี้ยงปลาหางนกยูงเอาไว้ด้วย แถมยังโรยหินแม่น้ำบริเวณขอบบ่อ ดังนั้นพอยัยกะทิออกไปป๊าบ..ก็มักจะเดินหน้าตั้งหางชี้ไปยังพิกัดแห่งความพอใจของตัวเองก่อนเลย


ดม ๆ ดู มีอะไรน่าสนใจมั้ยน้อ...


หนูจิ่นอนเฝ้าปลามันอยู่กงนี้ล่ะ...


ความสุขเล็ก ๆ ของยัยกะทิ ในวันที่อิ่เจ๊พอจะมีเวลาว่างจัดให้ วันละนิด วันละหน่อย




สุดท้ายแล้วก็กลับมานอนกลิ้งเกลือกริมบ่อน้ำที่โปรด ^0^/

ในตอนหน้าของบล็อกยัยกะทิ เรามาลองกุมตัวยัยกะทิเดินเล่นโดยไม่ผูกสายจูงดูบ้างนะคะ >.<"



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai




วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หนูเป็นแมวเปรียว


บางคนถึงกับงงเต๊ก..เป็นหนูอยู่ดี ๆ ไหงแป๊บ ๆ บอกว่าเป็น แมว ขึ้นมาเอาดื้อ ๆ ฟระ กรั่ก ๆ ๆ

นับเนื่องมาจากวันที่รับตัวยัยกะทิมาจากพี่สาวแล้วเอามาเข้าบ้าน AF ก็ปาเข้าไปสองเดือนพอดิบพอดีฮ่ะ จริง ๆ ถามว่าตอนนี้ยัยกะทิเริ่มคุ้นเคยกับบ้านใหม่หรือยัง อิชั้นคงต้องบอกว่า ก็คุ้นแหละ..แต่เป็นความคุ้นที่พร้อมจะกลายร่างเป็นความไม่คุ้นอิ่ตอนเห็นนกบินจิ๊บ ๆ โฉบไปโฉบมาได้ทุกเมื่อ T^T


ปัญหาอย่างหนึ่งของการรับเอา แมวโต มาเลี้ยง ก็คือการไม่คุ้นที่คุ้นทางนี่แหละฮ่ะ ยิ่งเป็นการรับแมวโตที่มีเจ้าของเลี้ยงมาก่อน แมวมันก็จะจำแต่เจ้าของเดิมกับบ้านเดิมของมันล่ะ อย่างที่หลาย ๆ คนอาจจะเคยพบเจอเคสที่แมวถูกนำไปปล่อยที่นู่นที่นี่ แล้วดั้นด้นหาทางกลับบ้านมาหาเจ้าของเดิมกันบ่อย ๆ น่ะนะคะ

สำหรับยัยกะทินี่ ถึงแม้จะไม่ถูกนำไปปล่อยวัด ให้ระหกระเหเร่ร่อน ตบตีแย่งชิงข้าวก้นบาตรกับแมวตัวอื่น หรือเสี่ยงกับการถูกหมาขาใหญ่ไล่งับเอา แต่ด้วยความที่กว่าจะตกมาถึงมืออิชั้นก็ปาเข้าไปเกือบสองขวบแล้ว ดังนั้น ไอ้การที่จะเลี้ยงให้คุ้นเคยกับคนเลี้ยงใหม่ ๆ หรือสถานที่ใหม่ ๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย

หะแรกเมื่อรับมา อิชั้นขังกรงนังกะทิไว้ก่อนเลยฮ่ะ...ด้วยความที่ตั้งใจไว้ละ ว่ายัยกะทิจะต้องถูกเลี้ยงในระบบปิด คือใช้ชีวิตอยู่ในกรงใหญ่เกือบตลอดทั้งวัน ดังนั้น การจับยังกะทิขังกรงไว้ก่อนในระยะแรก ๆ เพื่อให้คุ้นเคยกับสถานที่และการใช้ชีวิตในกรงจึงเป็นเรื่องจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อิชั้นจะปล่อยให้ยัยทินอนหง่าว เหงาเหว่ว้าอยู่ในกรงอยู่ทั้งวี่ทั้งวันหรอกนะคะ นอกจากวัน ๆ นึงที่ยัยกะทิจะต้องอยู่ในกรงแล้ว เมื่อไหร่ที่อิชั้นแวะเข้าไปเซ็นต์งานที่ตึก ยัยกะทิก็จะถูกปล่อยให้มานั่งมานอนเล่นเสนอหน้าอยู่ในออฟฟิศเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งก็นะ อิชั้นเข้าตึกทุกวัน ยัยทิก็จะดี๊ด๊าได้เข้ามาเล่นในออฟฟิศทู๊กก...วันอีกเหมือนกัน ^0^/


หนึ่งในที่โปรดของยัยกะทิก็คือหน้าเคาเตอร์รับแขกนี่แหละฮ่ะ นั่งเล่นนอนเล่นได้ทีละนาน ๆ ยิ่งเห็นคนเดินวับ ๆ แวม ๆ อยู่ข้างนอกก็ยิ่งสนใจ หัวหูดุกดิกตลอด ๆ


นั่งเล่นนาน ๆ เข้าสงสัยจะเมื่อย..นอนแต่งตัวมันดื้อ ๆ ซะงั้น <3


บางวันก็อยากเปลี่ยนที่ชมวิวมั่ง..โดดขึ้นมานอนบนพนักพิงโซฟาข้างหน้าต่าง คอยดูนกจิ๊บ ๆ ที่โฉบลงมาเดินเยาะเย้ยอยู่แถวโรงรถข้างนอกโน่น (รูปนี้เป็นรูปเก่าฮ่ะ ใต้ปากยังมีรอยเชื้อราอยุ่เลย แต่ตอนนี้รอยจางลงจนแทบไม่เห็นละ)


โถ...ทำหน้าตาน่าสงสารนิ..คงอยากออกไปเดินข้างนอกจะแย่ละ >.<ในตอนหน้าเรามาพายัยกะทิออกไปหัดเดินนอกออฟฟิศกันบ้างดีกว่าเนาะ :)



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai



จับยัยกะทิอาบน้ำ


สำหรับคนที่เลี้ยงแมวนั้นก็คงมีคำถามอยู่ในใจเหมือน ๆ กันอยู่ข้อนึงฮ่ะ คือ..เราจำเป็นต้องอาบน้ำให้มันมั้ยเนี่ย..แล้วถ้าจำเป็นต้องอาบจะอาบยังไงกันล่ะนั่น จะเหมือนเวลาเราจับหมาอาบน้ำมั้ย มันจะกัดเรามั้ย มันจะข่วนเรามั้ย ถ้ากัดแล้วเราจะกลายร่างมั้ย.. << ได้ข่าวว่าประโยคหลังไม่เกี่ยวแระ..555+ แล้วจะทำยังไงกับการอาบน้ำอิ่ตรงส่วนหัวกะส่วนหูของมันให้สะอาดสะอ้านได้ล่ะ อ่ะ..มาดูพัฒนาการทางด้านการอาบน้ำของยัยกะทิกันค่ะ >0</

จริง ๆ แล้วหลังจากได้ยัยกะทิมาสักสองอาทิตย์ อิชั้นก็เริ่มทดลองจับยัยกะทิอาบน้ำค่ะ เนื่องจากเจ้าของเก่าเค้าเคลมมาว่ายัยกะทิเคยถูกจับอาบน้ำมาก่อน ดังนั้นถ้าจะอาบก็อาบได้ มันไม่โวยวายเสียจริตเวลาโดนน้ำหรอก แต่แหม..ด้วยความที่ไม่เคยจับแมวอาบน้ำมาก่อน หนแรก ๆ อิชั้นก็เลยจับมันลงอ่างล้างหน้า แล้วซักเฉพาะส่วนตัว ส่วนหูส่วนหัวก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ด ๆ เอา เพราะยังหาวิธีอาบน้ำฟอกสบู่โดยไม่ต้องกลัวเข้าหูเข้าตามันไม่ได้


ในเพลาถัดมา ยัยกะทิก็ดันเป็นโรคเชื้อราแดรก..เอ๊ย..เชื้อรานอกร่มผ้าฮ่ะ คือมันเริ่มจากการที่อิชั้นต้องเอายัยกะทิไปทำการผ่าต้ดเพื่อนำแมวเด็กที่ตายในพุงออก แล้วก็ถือโอกาสทำหมันซะเลย และด้วยความที่เป็นห่วงกลัวไม่มีใครดูแลมันช่วงพักฟื้น ก็เลยฝากคุณหมอเค้าเลี้ยงไว้อาทิตย์นึงเต็ม ๆ ซึ่งก็นะ..ตลอดอาทิตย์นั้น ยัยกะทิก็อยู่คอนโดกรงซึ่งมีน้องแมวขนาบซ้ายขวาบนล่าง โดยไม่รู้ว่าอิ่ตัวไหนพกเชื้อไวรัสมาแจกกันแน่

หลังจากรับตัวยัยกะทิกลับมาได้สักพัก ยัยกะทิก็ออกอาการเป็นเชื้่อราฮ่ะ เริ่มจากมีอาการแดง ๆ คัน ๆ บริเวณเบ้าตาก่อน ตามมาด้วยอาการแฉะ ๆ เหมือนแมวซอมบี้ น่าเกลียดน่ากลัวซะยิ่งกว่าไอ้พวกตัวละบาทเดียว สุดท้ายพอพาไปหาหมอ หมอก็เลยวินิจฉัยว่าเป็นเชื้อราแน่ ๆ ก็เลยต้องรับยามาทาที่บ้านสิริรวมแล้วถึง..หนึ่งตลับถ้วน !!..อิชั้นก็ได้แต่นึกในใจว่า..อิ่นี้คือหมอแน่ใจนะเค๊อะว่ามันจะหายเพราะอิยาตลับเดียวเนี่ย..

อดทนทายาเช้าเย็นมาเป็นเวลาถึง 2 อาทิตย์ โดยที่ทำตามคำสั่งหมออย่างเคร่งครัดคือ..."ไม่ต้องอาบน้ำให้มันนะครับ เืชื้อราชอบความชื้น ถ้าอาบน้ำให้มันมันจะไม่หาย.." อิชั้นก็อดทนฮ่ะ..ทนดูยัยกะทิตัวเน่าดำปี๋เป็นอิ่แมวซอมบี้มาสองอาทิตย์เต็ม ๆ จนวันนี้ทนไม่ไหว เอาวะ..อาบน้ำให้มันหน่้อยละกัน แต่จะอาบน้ำให้มันด้วยสบู่ถูตัวทั่วไปก็คงไม่เหมาะ ผลสุดท้ายหลังจากหาข้อมูลดูสักพัก ก็พบว่า..เราสามารถใช้แชมพูยี่ห้อไนโซรัล ซึ่งเป็นแชมพูยาขจัดเชื้อราของคนมาอาบให้แมวได้..(แต่ควรใช้ในปริมาณน้อย ๆ และควรล้างฟองแชมพูออกให้สะอาด) อย่ากระนั้นเลย ไหน ๆ วันนี้ก็ว่างแระ..จับยัยกะทิอาบน้ำละกัน..เรามาดูสภาพของยัยกะทิหลังการทายารักษาเชื้อรามาสองอาทิตย์ กับการจับอาบน้ำเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนดูนะคะ


อ๊า..อาบน้ำแย้ว..สบายตัว...

อาการ เชื้อรา ดีขึ้นมาก สังเกตภาพซ้ายมือคือก่อนรักษา และขวาคือคือหลังจากรักษาด้วยการทายาและอาบน้ำในวันนี้น่ะนะคะ

ก็หวังว่่ายัยกะทิจะหายจากการเป็นแมวซอมบี้ในเร็ววัน..แต่ขอบอกว่าอาการเชื้อรามันไม่ทำให้ความซ่าในตัวแกลดลงเลย..แต่ถึงแกจะเป็นแมวซอมบี้ฉันก็รักแกไม่เปลี่ยนแปลงนะกะทิ..



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai


วัคซีนป้องกันโรคลูคีเมียแมว

เมื่อตอนที่แล้วอิชั้นได้หยิบเอาสาเหตุของการเกิดโรคลูคีเมีย หรือ มะเร็งเม็ดเลือดขาวในแมว และข้อสังเกตว่าแมวเรามีอาการของโรคลูคีเมียมาฝากกันไปแล้วน่ะนะคะ แต่ทีนี้เราจะสังเกตอาการแล้วก็ฟันธงโช๊ะไปเลยก็คงไม่ได้ว่า แมวเราเป็นไอ้เจ้าโรคนี้นะ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการนำแมวป่วยของเราไปพบหมอฮ่ะ จากนั้นหมอก็จะมีการตรวจร่างกายของแมวเราอย่างละเอียดเพื่อประเมินอาการให้แม่นยำที่สุดเท่าที่จะทำได้

มีคำถามว่าแล้ว โรคลูคีเมียแมว นั้นร้ายแรงแค่ไหน แมวเราจะตายมั้ยหากเป็นโรคนี้ จริง ๆ แล้วมันก็มีข้อมูลการศึกษาที่พบว่ากว่า 83% ของแมวที่เป็นโรคนี้ จะมีอายุยืนยาวได้ไม่เกิน 4 ปีหลังจากป่วยฮ่ะ คือแม้ว่าจะไม่ได้ตายแบบปุ๊บปั๊บเลย แต่มันก็ทำให้แมวของเรามีชีวิตอยู่กับเราสั้นลง T^T แถมช่วงที่มีชีวิตอยู่ก็จะป่วยกระเสาะกระแสะ และเป็นแหล่งกระจายเชื้อไวรัสนี้สู่แมวตัวอื่น ๆ ในบ้านของเราอีกด้วย ดังนั้นหากเพื่อน ๆ ทาสแมวทั้งหลายมีแมวที่ป่วยเป็นโรคนี้แล้วก็ควรจะดูแลไม่ให้แมวป่วยมีความเครียดและสัมผัสกับเชื้อโรคอื่น ๆ นะคะ และหากพบว่าแมวมีอาการป่วยเนื่องจากติดเชื้อแทรกซ้อน ก็ให้รีบรักษาตามคำแนะนำของสัตวแพทย์โดยด่วน

พายัยกะทิไปฉีดวัคซีนป้องกันโรค ลูคีเมียแมว...ขุดกระเป๋าโดเรม่อนของตัวเองซะเกือบกระจุย >0<

สรุปก็คือไอ้โรคนี้มันไม่มีวิธีรักษาฮ่ะ นอกจากรอวันที่แมวเราจะจากเราไปก่้อนเวลาอันควรเท่านั้นเอง ดังนั้น เมื่อไม่มีวิธีรักษา เราก็ควรที่จะต้องหาทางป้องกันเอาไว้ก่อน

วิธีการป้องกัน โรคลูคีเมียในแมวนั้นปัจจุบันนี้วิธีที่ได้ผลดีที่สุดก็คือการทำวัคซีนฮ่ะ วัคซีนป้องกันโรคลูคีเมียในแมวนี้แม้ว่าจะป้องกันโรคไม่ได้ถึง 100% ก็ตาม แต่จากการวิจัยก็พบว่ามันได้ผลประมาณ 75-85% ซึ่งก็ยังดีกว่านิ่งนอนใจไม่ทำอะไรเลย และเสี่ยงให้แมวของเราติดเชื้อไวรัสชนิดนี้เข้าอ่ะนะคะ

วิธีป้องกันอีกหนึ่งวิธีที่เบสิคมากและควรใช้ร่วมกับการฉีดวัคซีน ก็คือการลดพฤติกรรมชอบเที่ยวของแมวเราลงฮ่ะ ถ้าเป็นแมวตัวผู้ก็จับทำหมันซะ จะได้ไม่ออกไปซ่าทะเลาะกับแมวอื่นนอกบ้านแล้วก็พาลเสี่ยงติดโรคกลับมาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งแม้ว่ายัยกะทิจะเป็นแมวตัวเมียและถูกเลี้ยงในระบบปิด..แต่อิชั้นก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และพาไปทำวัคซีนป้องกันโรคลูคีเมียแมวเรียบร้อยแล้วล่ะนะคะ




เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai

DIY.ที่นอนแมวทำเองจากเสื้อยืดแขนยาวตัวเก่า



ข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงนั้น มักมีราคาสูงพอสมควรทีเดียวค่ะ ดังนั้นหากเราสามารถประดิษฐ์หรือประยุกต์ทำใช้เองได้ ก็จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้มาก วันนี้บล็อกยัยกะทิจะพาเพื่อน ๆ สมาชิกผู้รักแมวแห่งประเทศไทยทั้งหลาย มาทำ ที่นอนแมว ทำเอง จากเสื้อยืดแขนยาวตัวเก่ากันนะคะ เรามาดูกันค่ะ ว่าหน้าตาและวิธีทำของที่นอนแมวที่ทำเองเป็นอย่างไรบ้าง


เห็นภาพตัวอย่างและวิธีทำแล้ว หลาย ๆ คนคงแทบวิ่งไปหยิบเสื้อยืดแขนยาวตัวย้วยของตัวเองมาทำในทันใดเลยใช่มั้ยคะ เพราะทั้งวัสดุและวิธีทำไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย เพียงเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ดังนี้

1. เสื้อยืดแขนยาว 1 ตัว (หากเป็นคอเต่าก็จะดีมาก แต่ถาไม่เป็นคอเต่าก็เป็นเสื้อยืดคอปาดก็พอใช้ได้)
2. หมอนใบเก่าที่สามารถใส่ในเสื้อยืดได้พอดี 1 ใบ
3. ผ้าขนหนูผืนเก่า 1 ผืน
4. เข็ม,ด้าย,กรรไกร,โบว์ตกแต่ง

เมื่อพร้อมแล้วก็มาลงมือทำกันได้เลยนะคะ

1. นำเอาเสื้อยืดคอเต่ามาำทำการตัดบริเวณส่่วนคอออกให้มีขอบเสมอกับช่วงไหล่ตามภาพ
2. นำหมอนมาใส่ในลำตัวเสื้อยืด เย็บปิดบริเวณขอบเสื้อยืด และบริเวณขอบด้านบนของหมอน
3. นำผ้าขนหนูผืนเก่ามาทำการม้วนให้เป็นท่อนยาวแล้วจึงใส่เข้าไปภายในบริเวณแขนเสื้อทั้งสองข้าง
4. นำเอาแขนเสื้อด้านหนึ่ง ล้อมตัวเสื้อที่ใส่หมอนไว้มาทำการเย็บติดกับแขนเสื้ออีกด้านหนึ่ง
5. ตกแต่งบริเวณที่แขนเสืิ้อที่สองด้านมาเย็บติดกันด้วยโบว์สวย ๆ

ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ..เพียงเท่านี้เราก็จะได้เบาะนอน หรือที่นอนสวย ๆ ให้เจ้านายของเรา โดยไม่ต้องซื้อหาให้เสียสตางค์แล้วล่ะนะคะ


ภาพประกอบจาก http://i.imgur.com/pqMobU4.jpg

โรคลูคีเมียแมว


เมื่อหลายวันก่อนนี้อิชั้นพายัยกะทิไปฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โรคลูคีเมีย มาฮ่ะ..หลาย ๆ คนคงพอจะรู้จักว่าโรคลูคีเมียในคน ก็คือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั่นเอง แต่ทำไม๊..ทำไม มันถึงมาเกิดกับแมวได้ด้วยล่ะ และมันจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องป้องกันโรคนี้ไม่ให้เกิดขึ้นกับแมวของเรา

จริง ๆ แล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยของเราก็เริ่มมีข้อมูลเกี่ยวกับ โรคลูคีเมียในแมว เพิ่มเติมพอสมควร วันนี้เราลองมาทำความรู้จักกับโรคลูเมียในแมวด้วยกันนะคะ

 โรคลูคีเมียแมว

โรคลูคีเมียในแมวนั้นเกิดจากเชื้อไวรัสค่ะ โรคนี้พบเจอในแมวได้ทั่วโลกและติดต่อได้จากแมวสู่แมว ไม่ว่าจะเป็นการติดจากบาดแผลที่เกิดจากการกัดกัน หรือการอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด แม้แต่การใช้ภานะร่วมกัน ใช้กระบะทรายร่วมกัน ก็ยังติืดได้ ไม่เว้นแม้แต่การติดกันจากแม่แมวมาสู่ลูกแมวทั้งทางรกและทางน้ำนม คือเชื้อไวรัสมันอยู่ได้หมดอ่ะฮ่ะ ทั้งน้ำลาย,ปัสสาวะและอุจาระของแมวป่วยที่พ่วงตำแหน่งพาหะ


แล้วเราจะสังเกตได้ยังไงล่ะ ว่าแมวเราป่วยเป็นโรคลูคีเมีย จริง ๆ แล้วในระยะแรกนั้นอาการอาจจะยังไม่ชัดเจนฮ่ะ อาจเริ่มจากการที่แมวเราน้ำหนักตัวลดลง มีภาวะช่องปากอักเสบ ภาวะเลือดจาง ซึม ท้องเสีย มีอาการทางระบบประสาท ต่อมน้ำเหลืองขยายตัวเล็กน้ิอย หรือมีเนื้องอกที่อวัยวะต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งแมวที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคลูคีเมียนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแมวตัวผู้ที่ชอบไปเปิดศึกนอกบ้าน แล้วก็พกไวรัสลูคีเมียกลับมาแจกเด็กตัวอื่นที่บ้านซะงั้น ซึ่งระยะฟักตัวของโรคนี้จริง ๆ  แล้วนับได้ตั้งแต่เป็นเดือนจนถึงเป็นปีเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของร่างกายของแมวแต่ละตัว ซึ่งไอ้ที่น่ากลัวก็คือ แม้ว่าตัวเชื้อไวรัสจะมีผลกระทบต่อระบบเลือดและระบบน้ำเหลืองของแมว แต่ระบบอื่น ๆ ภายในร่างกายก็จะไวต่อการติดเชื้อแทรกซ้อนอื่น ๆ อันเนื่องมาจากภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ

ในตอนหน้าเรามาดูวัคซีนที่จะช่วยป้องกันโรคลูคีเมียในแมวกันนะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai

เมื่อยัยกะทิเป็นเชื้อรา..อรึ๋ยยย..


หลังจากกลับมาพักฟื้นที่ตึกได้สักอาทิตย์นึง ยัยกะทิก็หาเรื่องให้อิ่เจ๊มันปวดหัวได้สำเร็จตามเคยฮ่ะ

จริง ๆ แล้วอิ่ตอนรับตัวกลับมาจากร้านหมอสามวันแรก อิชั้นก็นึกสงสัยอยู่ละ ว่าทำไมรอบตายัยกะทิถึงดูแดง ๆ ฟระ ทีแรกก็นึกว่าเป็นผลพวงมาจากอากาศร้อน (ขนเลยร่วง) หรือเป็นเพราะยัยกะทิไม่คุ้นเคยกับการอยู่กรงตัวเดียวก็เลยพยายามเอาหน้าถูตะแกรงกรงจนรอบเบ้าตาช้ำห้อเลือดอะไรประมาณนี้หรือเปล่า แต่ผลปรากฎว่ายิ่งนานวัน...อาการเบ้าตาช้ำ แดง ขนร่วงเฉอะแฉะก็ยิ่งมากขึ้น ๆ และเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ >0<


รอบนี้งานเข้าอิ่เจ๊มันอีกละ เพราะไม่รู้ว่าน้องเป็นอะไรกันแน่ ความรู้เรื่องการเลี้ยง แมว ก็ไม่เคยมีกะเค้า รู้อยู่แต่ว่าต้องทำวัคซีนป้องกันโรคให้นะ แล้วก็ไม่รู้ว่ามีอะไรที่ต้องควรระวังอีก

ด้วยความนิ่งนอนใจ..คิดว่ามันไ่ม่เป็นไรหรอกน่ะ ก็แค่แมวขนร่วงเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปหรือเพราะอากาศร้อนเท่านั้น ก็เลยใช้ชีวิตชิล ๆ ปล่อยทิ้งไว้อีกเกือบอาทิตย์ (แถมยังมีหน้าบินไปเที่ยวต่างประเทศซะอีกห้าวันอีกตะหาก T^T)

ผลปรากฎว่าพอกลับมา....เย้ย..ทำไมมันไม่หายซะทีล่ะ แถมเป็นมากขึ้นด้วย ไม่ได้การละ เห็นทีจะต้องพาไปให้หมอดูซะแล้วว่าเป็นอะไรมากรึเปล่า


ตัดสินใจได้ดังนั้นอิชั้นก็พายัยกะทิใส่กระเป๋าแมวแล้วตรงไปร้านหมอทันทีฮ่ะ

"อ๋อ....ยัยกะทิเค้าเป็น โรคเชื้อรา น่ะครับ"

"หา !!?? เป็นโรคเชื้อราเหรอคะ" อิชั้นตาโตเป็นไข่ห่าน "..มันเป็นได้ยังไงคะหมอ กะทิไม่เคยไปเล่นกับแมวตัวอื่น กลับจากคลินิคหมอก็อยู่แต่ที่ตึก กักบริเวณแค่ไม่กี่ที่เท่านั้น ไม่น่าจะไปติดมาจากไหนเลยนะคะ" (อิชั้นแอบจิกตาเล้ก..เล็กกก..โทษหมออยู่ในใจ ติดมาจากคลินิคหมอนี่แน่เลย ฮึ้ยยย..)

"โรคนี้มาตามอากาศได้ครับ เดี๋ยวหมออธิบายคร่าว ๆ ให้ฟังละกันนะ จะได้รู้วิธีดูแลรักษาโรคเชื้อราชนิดนี้ด้วย"

สรุปว่าก่อนอื่นเรามาดูอาการของไอ้เจ้าเชื้อราที่เกิดในแมวกันก่อนค่ะ

อาการโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราในแมวนั้นมีดังนี้นะคะ

1. ขนแมวจะร่วงเป็นหย่อม ๆ แต่บางครั้งก็แค่เป็นจ้ำแดง ๆ ขนร่วงแล้วก็คันคะเยอเป็นพัก ๆ(ยัยกะทิเป็นแบบหลัง ๆ นี่)
2. บางตัวจะมีปื้นสีน้ำตาลปนดำบริเวณผิวหรือขน
3. มีตุ่มแดง ตุ่มหนอง และขนร่วงเป็นวงกว้าง โดยอาจไม่มีอาการคันร่วมด้วย
4. ขนร่วง ขนแห้ง หลุดกระจาย
5. ไม่มีอาการแน่ชัด พบแค่สะเก็ดแห้ง ๆ ตามลำตัว
6. มีอาการอักเสบรอบ ๆ เล็บ
7. ไม่มีอาการอะไรเลย แต่มันก็เป็นล่ะ....(แนวมั้ย 555+)
ที่สำคัญไปกว่านั้น ไอ้ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทุกคนรู้มั้ย...ว่า มันติดคนได้นะ...คุณพระช่วย นี่อิชั้นอาจจะติดเชื้อราในร่มผ้าจากยัยกะทิเหรอเนี่ย !!!!?????...(อีโมยกมือสวย ๆ ขึ้นทาบอก)

ทีนี้ก็มาถึงวิธีรักษากันมั่งฮ่ะ วิธีการรักษาโรคเชื้อราในแมวนี่ ต้องรักษาร่วมกันหลายวิธี ได้แก่
1. ใช้ยาหรือแชมพูกำจัดเชื้่อราอาบน้ำให้น้องแมว เพื่อฆ่าเชื้อและสปอร์ของราบนตัวสัตว์ ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อราสู่สิ่งแวดล้อม
2. ให้ยากินเพื่อฆ่าเชื้อรา เพื่อลดระยะเวลาการติดเชื้อให้น้อยลง
3. ใช้น้ำยาที่มีฤทธิ์ทำลายเชื้อราทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมที่แมวอยู่ เพื่อลดโอกาสการกลับมาติดเชื้อใหม่
ซึ่งไอ้เจ้าการรักษาทั้งหลายแหล่ข้างบนนั่นต้องทำอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์เลยล่ะ ถึงจะดีขึ้น

ทีนี้..ถ้าไม่อยากให้แมวของเราเป็นเชื้อราจะทำยังไงดี

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของความสะอาดฮ่ะ ควรนำเอาข้าวของเครื่องใช้แมวมาตากแดดหรือทำความสะอาดบ่อย ๆ อุปกรณ์ชิ้นไหนที่สะสมเชื้อก็ตัดใจทิ้งไปเลย หากบ้านไหนมีแมวสายพันธุ์ดีหน่อยพวกแมวเปอเซียร์ขนยาว ๆ แนะนำให้ตัดขนแมวทิ้งเพื่อลดปริมาณเชื้่อ และที่สำคัญ หากมีแมวที่เป็นโรคนี้อยู่ก่อนแล้ว ก็พยายามป้องกันไม่ให้แมวตัวอื่นเข้าไปคลุกคลีเพื่อไม่ให้เชื้อราแพร่กระจายกินหัวแมวเราหมด..


ตอนนี้ยัยกะทิอาการก็เริ่มดีขึ้นแล้วอ่ะนะคะ หมอให้ยามาทาอย่างเดียว ไม่ได้ให้ยาตัวอื่นเสริมมาเลย แต่เห็นทีอีกสัก 3-4 วันจะลองไปเดินหาซื้อแชมพูอาบน้ำแมวที่ช่วยขจัดเชื้อรามาอาบให้ จะได้หายไวหน่อย คราวหน้าเรามาจับยัยกะทิไปทำวัคซีนป้องกันลูคีเมียด้วยกันนะคะ




เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โรคพยาธิหนอนหัวใจในแมว


ถ้าพูดถึงยุง..เราก็จะได้เรียนกันมาตั้งแต่ชั้นประถม (โนมมหาลัย) แล้วว่า..มันช่างเป็นตัวพาหะนำโรคที่อุดมด้วยความน่ารำคาญและน่าตบตีเป็นที่ยิ่งนัก

ในเคสของคน..ยุง เป็นพาหะนำโรคหลายอย่าง ทั้งร้ายแรงถึงชีวิต และไม่ร้ายแรงถึงชีวิต เช่น โรคไข้สมองอักเสบ,โรคมาลาเรีย,โรคไข้เลือดออก,โรคเท้าช้าง ซึ่งนอกจากจะเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์แล้ว ยุงยังเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราอีกด้วย เช่น โรคพยาธิหนอนหัวใจ,โรคไข้เลือดออก (เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินว่าแมวเป็นโรคนี้ได้ด้วย) ซึ่งโรคที่พบกันได้บ่อยสุด ก็เห็นจะเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจนี่ล่ะ เพราะติดง่ายมาก ที่สำคัญไอ้โรคนี้น่ะมันมียุงเป็นพาหะ เมื่อยุงไปกัดกินเลือดจากสัตว์ที่ป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้วมากัดสัตว์เลี้ยงตัวอื่น สัตว์เลี้ยงตัวที่โดนกัดก็จะมีความเสี่ยงจะเป็นโรคนี้ไปด้วย (เหมือนปอบเลยวุ้ย..ติดต่อกันเป็นทอด ๆ) ซึ่งใช่แต่แมวที่เสี่ยงกับการเป็นโรคนี้นะ สุนัขก็เป็นได้ด้วย เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือพยายามอย่าให้ยุงกัดแมวของเรา หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรถ่ายพยาธิให้แมวเป็นประจำ เช่นการหยอดยา Revolution เป็นต้น


สำหรับผู้ที่สงสัยว่าอาการของ โรคพยาธิหนอนหัวใจ ในแมวเป็นยังไง วันนี้อิชั้นหนีบเอาอาการของแมวที่พบว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจที่พอจะสังเกตได้ชัดเจนมาฝากกันฮ่ะ

อาการของ แมว ที่ ป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจ นั้น ส่วนใหญ่จะมีอาการไอ หายใจลำบาก อาเจียน ไม่ร่าเริง หงอย ซึม น้ำหนักตัวลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งหากเรารู้ไม่ทันอาการของโรค ก็อาจทำให้เกิดอาการชัก หมดสติ และตายอย่างกระทันหันได้ ซึ่งโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาโดยตรงฮ่ะ ก็ได้แต่รักษากันไปตามอาการ ดังนั้นอิชั้นแนะนำว่า หากแมวที่บ้านของเรามีอาการอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ก็อย่าได้นิ่งนอนใจนะคะ อย่าลืมว่าแมวมันพูดไม่ได้...เพราะฉะนั้นเราจึงควรใส่ใจสังเกตสังกาความผิดปกติของมันบ่อย ๆ จะได้มีเจ้าเหมียวเอาไว้คอยป่วน เอ๊ย..คอยเติมความหวานให้กับชีวิตเราไปอีกนาน ๆ นั่นเองค่ะ :)



เรื่องและภาพประกอบ Pacharawalai


วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

DIY. คอนโดแมวจากลิ้นชักเก่า


ลิ้นชักจากตู้เสื้อผ้าหรือโต๊ะทำงานตัวเก่า ๆ ที่ชำรุดและไม่ได้ใช้งานแล้วนั้น เราสามารถนำมาดัดแปลงทำเป็นคอนโดให้น้องแมวของเราโดดขึ้นไปนั่งเล่นนอนเล่นได้โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อหาคอนโดแมวราคาหลายร้อยมาใช้งานเลยฮ่ะ เรามาดูตัวอย่างของการนำเอาลิ้นชักจากตู้ใบเก่ามาทำเป็น คอนโดแมว แสนสนุกด้วยกันนะคะ


เห็นภาพตัวอย่างแล้ว หลาย ๆ คนก็สามารถลงมือทำตามได้ไม่ยาก ก่อนอื่นเรามาเตรียมวัสดุอุปกรณ์กันก่อนเลยค่ะ

  1. ลิ้นชักไม้จากตู้หรือโต๊ะตัวเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว 5 ใบ
  2. ไม้ขนาด 1x1 นิ้ว ความยาว 1.50 เมตร 4 ท่อน
  3. ไม้ขนาด 1x1 นิ้ว ความยาว 90 เซนติเมตร 4 ท่อน
  4. ตะปู 1.5 นิ้ว,ค้อน
เมื่อพร้อมแล้วก็มาลงมือทำกันได้เลยค่ะ

  1. ให้นำเอาลิ้นชัก 3 ใบ มาทำการตอกตะปูเป็นชั้นเข้ากับไม้ท่อนยาว 1.50 เมตร(ลักษณะคล้ายเก้าอี้)โดยลิ้นชักชั้นล่้างสุด ประกอบให้อยู่เหนือพื้น 30 ซม. ส่วนลิ้นชักใบที่ 2 และ 3 ให้อยู่ห่างจากลิ้นชักใบแรก 60 ซม.เท่ากันตามภาพตัวอย่าง
  2. นำเอาลิ้นชัก 2 ใบ มาทำการตอกตะปูเป็นชั้นเข้ากับไม้ท่อนยาว 90 ซม. โดยลิ้นชักใบล่างสุด อยู่เหนือพื้น 60 ซม. และลิ้นชักใบที่สองอยู่ห่างจากลิ้นชักใบแรก 30 ซม.
  3. นำเอาลิ้นชักทั้งสองชุดมาทำการประกอบติดกันให้แน่นหนาด้วยตะปู โดยประกอบให้มีลักษณะเยื้องกันเล็กน้อยเพื่อให้น้องแมวของเราโดดขึ้นลงได้สะดวก
เพียงเท่านี้เราก็จะได้คอนโดแมวในแบบฉบับ DIY. ที่นอกจากจะถูกใจบรรดาเหมียว ๆ แล้ว ยังถูกเงินในกระเป๋าอีกด้วยนะคะ



ภาพประกอบจาก shakinstyle.com/2012/02/diy-cat-tree.html

ยัยกะทิกับรอยปริศนาบนพุงสีชมพู


แหม่..ตั้งชื่อตอนซะเหมือนหนังหรือวรรณกรรมเด็กเลยเชียว :P จะบอกว่าช่วง 2-3 วันมานี้ยัยกะทิมีรอยจ้ำ ๆ แดง ๆ กลม ๆ เหมือนถูกยุงหรือมดกัดขึ้นที่พุงนับไม่ถ้วนทีเดียวค่ะ

ทีแรก อิชั้นก็นึกว่ามันต้องเป็นยุงแน่ ๆ เลยเทียว เพราะนอกจากมันจะเป็นจ้ำแล้ว มันยังเป็นตุ่มอีกด้วย ผลน่ะหรือคะ อิ่เจ๊มันทำทุกวิถีทางที่จะป้องกันยุงให้น้องกะทิ ไม่ว่าจะออกดั้นต้นไปตามหากรงขนาดเล็กที่บุด้วยมุ้งลวด เพื่อเอามาให้น้องกะทินอนตอนกลางคืน หรือแม้แต่พยายามจะคิดค้นหาวิธี DIY.ป้องกันยุงด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้ช้อยส์ไหนที่ถูกใจซะที ผลสุดท้าย..ก็เลยต้องใช้วิธีที่เบสิคสุด ๆ นั่นก็คือ....ใช้มุ้งคนนี่แหละฮ่ะ ครอบกรงกันยุงกัดยามค่ำคืนเอาไว้ก่อน



มุ้งที่เอามาครอบกรงยัยกะทินี่เป็นมุ้งผ้าไฟเบอร์ฮ่ะ ขนาดอยู่ที่ 3.5 ฟุต แบบเดียวกับมุ้งคนที่นอนคนเดียวนั่นล่ะ แต่ด้วยความที่มันเป็นมุ้งผ้าที่บางมว้ากก..ถึงมากที่สุด เวลามันเกี่ยวตามเหลี่ยมตามมุมของกรง มันจึงทำท่าจะขาดตั้งแต่คืนแรกกันซะให้ได้


ถามยัยกะทิว่าพอใจมั้ย...อิชั้นว่ามันไม่พอใจหรอกฮ่ะ อิชั้นเดาเอาว่าข้างในมุ้งมันคงร้อนโขอยู่ เพราะลมมันพัดผ่านเข้าไปตามรูมุ้งได้น้อย แต่ก็นะ...ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ยัยทิโดนยุงกัดล่ะ >0<


อดทนหน่อยเนอะกะทิ ทำไงได้...ยุงมันร้ายกว่าเสือนี่ ขืนให้กัดแกบ่อย ๆ แกคงลายพร้อยไปทั้งพุงเป็นแน่...


ไม่เชื่อดูร่องรอยอารยธรรมตุ่มแดงบนดาว..เอ๊ย..บนพุง แมว เอาละกัน T^T

เดี๋ยวจะลองครอบมุ้งสักอาทิตย์นึงค่ะ ถ้ารอยผื่นรอยตุ่มแดงนี่หาย ก็แสดงว่ามาถูกทางละ คงต้องคิดอ่านหาวิธีกันยุงแบบยั่งยืน ซึ่งก็คงไม่พ้นเรียกช่างมาวัดมุ้งลวดติดกรงยัยกะทิแบบถาวรนั่นล่ะ ให้อิ่เจ๊มันกลับมาจากต่างเมืองก่อนเนอะทิเนอะ




เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai




วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ระยะปลอดภัยของยัยกะทิ


22 มีนาคม 2556

ยัยกะทิกลับมาอยู่บ้านได้สองวันวันนี้ละฮ่ะ..ตอนนี้ความเป็นห่วงเรื่องแผลผ่าตัดที่พุงของกะทิเป็นอันตกไป เพราะจากที่สังเกตุแผลดู ก็รู้สึกว่าแผลแห้งสนิทติดทนนานดี ^^" คงเหลือแต่เรื่องการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจของกะทิแหละ ไม่รู้มันจะรู้จักรึเปล่าน้อ ว่าสูญเสียแมวจิ๋วในพุงไปถึง 3 ตัว ในเวลาแค่ไม่ถึง 2 ชั่วโมง

บ่ายนี้อิชั้นเข้าไปเซ็นต์งานที่ตึกเช่นเคยฮ่ะ..ขอบอกว่าตั้งแต่รับตัวยัยกะทิมาไว้ที่ตึกเนี่ย ความขี้เกียจเข้าออฟฟิศลดน้อยถอยลงไปเยอะ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเป็นห่วงความเป็นอยู่ของมันนั่นล่ะ กลัวว่ามันจะเหงาที่ไม่มีคนพาตัวออกจากกรงใหญ่มาเล่นด้วย อย่างน้อย ไหน ๆ อิชั้นก็ต้องไปทำงานอยู่แล้ว ก็ถือโอกาสพายัยกะทิออกจากกรงมาลั้นลาอยู่ในออฟฟิศระหว่างทำงานละกัน


แม้ว่าจะย้ายนิวาสถานมาอยู่ด้วยกันที่ตึกเป็นอาทิตย์แล้ว แต่ดูเหมือนยัยกะทิก็ยังอยากจะแหกคอกกลับไปบ้านเจ้าของเดิมอยู่ดี ก็อย่างนี้แหละน๊าา..่รับแมวใหญ่มาเลี้ยง คงอีกสักพักกว่าจะเลิกชะเง้อมองออกนอกประตูแบบนี้


นั่งเล่น สีคนนั้นทีสีคนนี้ทีสักพัก ก็ถึงคิวขึ้นมาป่วนบนโต๊ะเซ็นงานอิชั้นฮ่ะ โดดขึ้นมานั่งทับหนังสือที่คนน่ารักส่งมาให้อ่านพอดิบพอดี สงสัยคงจะอยากเปิดอ่านก่อนอิ่เจ๊


เท่านั้นยังไม่พอนะฮะ ยัยนี่ยังโชว์พาวด้วยการปีนป่านขึ้นมาบนตักแล้วเอาหน้ามาจ่อจมูกอิชั้นในระยะเผาขนด้วย ระยะหลังนี่ทำบ่อย ไอ้เรื่องเอาตะหมูกมาจุ๊บ ๆ ปากอิชั้นเนี่่ย สงสัยอยากให้รู้ว่าทิร๊ากกก...


ที่เห็นจ้อง ๆ อยู่นั่นไม่ได้จ้องที่กล้องมือถืออิชั้นนะเค๊อะ จ้องพวงกุญแจที่อิชั้นแกว่งอยู่เหนือกล้องนี่ล่ะ รู้เคล็ดลับของการทำให้มันอยู่นิ่ง ๆ ละ...หาอะไรมาล่อให้สนใจนี่เอง


เฮ้อ..เบื่อ เมื่อไหร่อิ่เจ๊จะปล่อยหนูออกไปเดินเล่นข้างนอกมั่งน๊าา..เอ๊ะ..นั่นไรอ่ะ..นั่นไรอ่ะ นกใช่ป่าวน๊า??


อ๊าาาา นกจริง ๆ ด้วย ฮื้ด ๆ ๆ...นกมันบินไปแย้ววว..Y.Y



หนูอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกมั่ง..(รอเจ๊ซื้อสายจูงมาก่อนนะจ๊ะ)


แสนรู้หูกระดิกจนเกิน แมว จริง ๆ พอบอกให้เอาตังค์ไปซื้อหนมกินเองไป๊ เจ๊ไม่ว่าง..ยังกะทิก็ปีนขึ้นมางับแบงก์พันทันที..สงสัยชีอยากไปเซเว่น


เฮ้ย ๆ ๆ....ไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดน้าน..ชั้นโฟกัสหล่อนไม่ด๊ายยย... >0<

อิอิ..แล้วกลับมาพบกับน้องกะทิได้ในครั้งหน้านะคะ




เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

DIY. มาทำที่ฝนเล็บให้น้องแมวกันเถอะ


แมว นั้นเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเล็บแหลมคมค่ะ และด้วยสัญชาตญาณของนักล่าตระกูลเสือ มันจึงต้องฝนเล็บให้คมอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถต่อสู้หรือเกาะเกี่ยวสิ่งของได้อย่างติดแน่น แต่ทว่าหากแมวในบ้านของเราเที่ยวไปฝนเล็บกับบรรดาข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านอยู่เสมอ ก็คงเป็นเรื่องน่าปวดหัวอยู่ไม่ใช่น้อยน่ะนะคะ เพราะข้าวของบางอย่างอย่างเช่น โซฟาหรือเฟอร์นิเจอร์สวย ๆ ก็อาจจะชำรุดเสียหายจนซ่อมแซมให้กลับมาสวยงามดังเดิมได้ยาก

วันนี้บล็อกของยัยกะทิมีงาน DIY.ง่าย ๆ ในการทำ ที่ฝนเล็บแมว โดยเฉพาะมาฝากกันค่ะ ก่อนอื่นเรามาดูภาพตัวอย่างของชิ้นงานสำเร็จกันก่อนนะคะ


เห็นภาพตัวอย่างแล้ว หลาย ๆ คนก็คงจะทำตามได้ไม่ยากค่ะ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ก็มีไม่กี่อย่างได้แก่

1. แผ่นกระดานไม้ขนาด หนา 1 นิ้ว กว้าง 3 นิ้ว ยาว 24 นิ้ว 1 แผ่น
2. เชื่อกมะนิลาขนาด 3 มม.
3. ปืนกาวร้อน
4. สว่านพร้อมดอกสำหรับเจาะไม้

เมื่อพร้อมแล้วก็มาลงมือทำกันได้เลยค่ะ

เพียงคุณนำเอาเชือกมะนิลามาทำการพันรอบแผ่นไม้ ยึดให้แน่นหนาด้วยปืนกาวร้อน แล้วทำการเจาะรูบริเวณด้านบนของแผ่นไม้เพื่อสอดเชือกไว้แขวน เพียงเท่านี้เราก็จะได้ที่ฝนเล็บแมวเอาไว้ให้เจ้าเหมียวใช้งาน โดยไม่ต้องกังวลว่าเจ้าเหมียวจะไปทำความเสียหายให้กับบรรดาข้าวของเครื่องใช้และเฟอร์นิเจอร์แสนรักภายในบ้านอีกแล้วนะ่นะคะ



ภาพประกอบ .designsponge.com/2012/12/diy-project-pretty-cat-toys.html

DIY. ปลานุ่ม ๆ ของเหมียวแสนซน


DIY. ของเล่นแมว ในวันนี้จะชวนเพื่อน ๆ สมาชิก บล็อกยัยกะทิ มาทำปลานุ้มมม..นุ่มจากเศษผ้าและอุปกรณ์อีกเล็กน้อยที่หาได้ง่าย ๆ กันค่ะ ก่อนอื่นเรามาดูนายแบบคาิบชิ้นงานสำเร็จโชว์กันก่อนนะคะ


ไม่รู้ว่าเจ้าเหมียวตัวนี้ได้ค่าแรงเป็นปลาทูกี่ตัว..เพราะคาบของเล่นชิ้นโปรดไว้ซะแน่นเชียว เอาล่ะ..เห็นเจ้าเหมียวในภาพโปรดปรานของเล่นส่วนตัวขนาดนี้แล้ว เรามาลงมือทำให้เจ้านายที่บ้านเราบ้างดีกว่านะคะ

่วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องจัดเตรียมไว้ก็มีไม่มากค่ะ ได้แก่
  1. เศษผ้าสีใด ลายใดก็ได้ ขนาด 6x6 นิ้ว จำนวน 2 ชิ้น 
  2. ไหมวีนัสชนิดไม่มัน 1 ไจ
  3. ข้าวสารเล็กน้อย
  4. กรรไกร,เข็ม,ปากกา,กระดาษร่างแบบ


เมื่อพร้อมแล้วก็มาลงมือทำกันได้เลยนะคะ


วาดรูปปลาบนกระดาษร่้างแบบ แล้วตัดออกมาตามภาพ


นำกระดาษรูปปลามาทำการวางบนผ้าแล้วตัดผ้าตามรูปกระดาษ


นำไหมวีนัสมาทำการเย็บด้นบริเวณขอบด้านข้างของตัวปลา โดยเว้นระยะไว้เล็กน้อยเพื่อใส่ข้าวสารที่เตรียมไว้ 


เมื่อใส่ข้าวสารในตัวปลาจนเต็มแล้ว ก็ให้เย็บปิดให้เรีียบร้อย ก่อนเย็บปักเป็นรูปกากบาทบริเวณที่เป็นตาปลา


เพียงเท่านี้เราก็จะได้ของเล่นรูปปลานุ้มมม..นุ่ม ที่เป็นที่ถูกอกถูกใจคุณเหมียวที่บ้านของเราแล้วล่ะนะคะ :)



ภาพประักอบจาก อินเตอร์เน็ต