วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ข้อดีข้อเสียของการเลี้ยงแมวในระบบเปิด


การ เลี้ยงแมวระบบเปิด นั้น ก็คือ การเลี้ยง แมว ที่ให้อิสระเสรีในการไปไหนต่อไหนกับเจ้าเหมียวค่อนข้างมากฮ่ะ หลาย ๆ บ้านมักจะเลี้ยงแมวในลักษณะนี้ คือ เ้จ้าของมีหน้า่ที่ให้อาหาร คลุกคลีบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็จะให้อิสระในการออกเที่ยวกับแมวเท่าที่มันอยากได้


จริง ๆ แล้วการเลี้ยงแมวระบบเปิดนั้น ค่อนข้างจะเหมาะสำหรับวิถีชีวิตของแมวฮ่ะ แอดมินเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบการเลี้ยงสัตว์แบบกักขัง หน่วงเหนี่ยว เพราะนึกถึงความรู้สึกของตัวเองที่หากต้องโดนทำแบบนั้นบ้าง ชีวิตมันคงรันทดน่าดู (คิดแทนแมว เก่งใช่ป่ะล่าาา..) แต่เมื่อมานึกย้อนดูแล้ว การเลี้ยงแมวระบบเปิดนั้นก็มีข้อเสียอยู่หลายประการด้วยกัน อันดับแรกเรามาดูข้อดีของการเลี้ยงแมวระบบเปิดกันก่อนนะคะ

  1. แมวไม่เครียด เพราะสามารถออกไปเที่ยวเตร่ได้ตามใจชอบ
  2. บ้านไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นหรือความสะอาดเนื่องจากการขังแมวไว้ในทีี่จำกัด
นับไปนับมาก็ได้แค่สองข้อ..ไหงงั้นอ่ะ >.< อ่ะ ทีนี้ก็มาดูข้อเสียของการเลี้ยงแมวระบบเปิดกันมั่ง

  1. เสี่ยงกับการที่แมวสูญหาย เนื่องจากออกไปเที่ยวนอกบ้าน ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่เราไม่สามารถควบคุมได้ 
  2. เสี่ยงกับการติดโรคติดต่อของแมวมาจากภายนอก เ่ช่น ไข้หัดแมว,พิษสุนัขบ้า,ลำไส้อักเสบ เป็นต้น
  3. มีโอกาสเกิดความบาดหมางระหว่างเพื่อนบ้าน เนื่องจากแมวของเราไปทำความเดือดร้อนรำคาญให้
  4. แมวตัวเมียตั้งท้องแบบไม่พึงประสงค์ เพิ่มจำนวนประชากรแมวภายในบ้านโดยไม่ตั้งใจในแมวตัวเมียที่ยังไม่ได้คุมกำเนิดหรือทำหมัน
  5. ไม่สามารถควบคุมดูแลการติดปรสิตชนิดต่าง ๆ ได้ เช่น เห็บ หมัด ไร เป็นต้น
นับข้อเสียได้ห้าข้อแล้ว..แอดมินว่า..เลี้ยงระบบปิดกันเหอะ (อ้าว..คุณพี่) เพราะหากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียทั้งหลายแหล่แล้ว จะเห็นว่าการเลี้ยงแมวระบบปิดมีข้อดีกว่าเยอะมาก แค่ข้อดีตรงที่แมวเราไม่หายกับไม่ติดโรคติดต่อมาจากภายนอกก็คุ้มละ..เอาเป็นว่าใครที่เลี้ยงแมวระบบไหนก็ตามแต่ ก็อย่าลืมให้ความรักและการเอาใจใส่น้องแมวของเราให้มาก ๆ ก็ละกันนะคะ ในตอนหน้าของบล็อกยัยกะทิ เราจะมาดูโรคติดต่อของน้องแมวกันค่ะ ว่ามีโรคอะไรบ้าง แล้วกลับมาพบกันใหม่ในครั้งหน้านะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai


ข้อดีข้อเสียของการเลี้ยงแมวในระบบปิด



ช่วงนี้แอดมินเครื่อง(เขียน)ฟิต สตาร์ทติดง่าย 555+ ก็เลยรีบโขก เอ๊ย..รีบแคะบทความออกมาให้อ่านกันเรื่อย ๆ อ่ะนะคะ วันนี้เราจะมาแจกแจงถึงข้อดีข้อเสียของการเลี้ยงแมวในระบบปิด และระบบเปิดให้อ่านพอเป็นกระสัยเส้น(ตราเด็กในพานทอง) กันนิดหน่อยฮ่ะ


ก่อนที่จะไปรู้ข้อดีข้อเสียของการเลี้ยง แมว ทั้งสองระบบ เรามาดูความหมายและวิธีการของการเลี้ยงแมวทั้งสองย่างกันก่อนดีกว่า การ เลี้ยงแมวระบบปิด ก็คือ การจำกัดพื้นที่ที่เลี้ยงแมว ให้อยู่ในการควบคุมดูแลเสมอ เช่น จำกัดบริเวณเลี้ยงเฉพาะในกรง,เลี้ยงเฉพาะในบ้าน(ห้อง,คอนโด,หอพัก) หรือเลี้ยงเฉพาะในบริเวณบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิด ส่วนการเลี้ยงแมวระบบเปิด ก็คือการเลี้ยงแมวที่ให้อิสระเสรีในการไปไหนมาไหนกับแมวมากกว่า เช่น แมวสามารถเดินไปซื้อปลาทูหน้าปากซอยได้เอง หรือแวะซื้อลูกชิ้นหมูรสเด็ดเพื่อสะสมแสตมป์เซเว่นที่สาขาใกล้บ้านได้..เอิ่ม..สองประโยคหลังไม่ใช่แระ..อิชั้นหมายถึง แมวมันสามารถออกไปเที่ยวเล่นได้ถึงไหนต่อไหนตามใจชอบแค่นั้น

ข้อดีของการเลี้ยงแมวระบบปิดมีหลายประการด้วยกันค่ะ คือ

  1. ป้องกันแมวสูญหาย เนื่องจากออกไปเที่ยวนอกบ้านแล้วกลับไม่ได้ หรือมีเหตุทำให้ไม่ได้กลับมาบ้าน
  2. ป้องกันการติดโรคติดต่อจากภายนอก เช่น โรคไข้หัด,โรคลำไส้อักเสบ,โรคมะเร็วเม็ดเลือดในแมว,โรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น
  3. ป้องกันความบาดหมางไม่เข้าใจกันระหว่างเพื่อนบ้าน เนื่องจากแมวเราไปรบกวนการใช้ชีวิต หรือไปทำความเดือดร้อนเสียหายกับบ้านของเพื่อนบ้าน
  4. ป้องกันการตั้งท้องของแมวตัวเมียแบบไม่พึงประสงค์ กรณีนี้สำหรับคนที่ยังไม่ได้พาแมวตัวเมียไปทำหมันน่ะนะคะ
  5. ควบคุมดูแลความสะอาดของตัวแมวง่าย ลดโอกาสติดปรสิตมาจากนอกบ้าน เช่น หมัด,เห็บ เป็นต้น
ส่วนข้อเสียของการเลี้ยงแมวระบบปิดก็มีเช่นกันค่ะ ได้แก่

  1. แมวเป็นสัตว์ที่รักอิสระเสรี การนำแมวมากักขังไว้ในพื้นที่แคบจึงอาจทำให้แมวเกิดความเครียดสะสมได้ ทางออกก็คือควรให้เวลาแสดงออกถึงความรักกับแมวให้มากขึ้น และควรพาออกไปเดินเล่นโดยใช้สายจูงบ้างเป็นครั้งคราว
  2. ต้องใส่ในใจการทำความสะอาดส่วนต่าง ๆ ของบ้านเป็นพิเศษ เนื่องจากการให้แมวคลุกคลีอยู่ในพื้นที่จำกัด ย่อมทำให้เกิดความเปรอะเปื้อนอยู่บ้าง เช่น กลิ่น หรือขนหลุดร่วง เป็นต้น
ในตอนหน้าของบล็อกยัยกะทิ เราจะมาดูข้อดีข้อเสียของการเลี้ยงแมวระบบเปิดกันบ้างค่ะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai










วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิธีตามหาแมวหาย ตอนที่ 2


เชื่อว่าเพื่อน ๆ สมาชิกบล็อกยัยกะทิ ทั้งที่เป็นเพื่อนที่กรุณาติดตามอยู่ในเฟส หรือเพื่อน ๆ ที่หลงเข้ามาอ่านบล็อกนี้ ก็คงจะเคยเจอกับปัญหา หาแมวไม่เจอกันมาบ้างนะคะ...

ไอ้ปัญหาหาแมวไม่เจอนี่ล่ะ ที่เป็นปัญหาใหญ่ เพราะบางทีเราไม่รู้ว่ามันหายจริง หรือมันแค่หายไปแอบงีบนอนอยู่ตรงไหนกันแน่ ข้อสังเกตว่าแมวเราหายไปก็คือ หากได้เวลาที่แมวจะต้องเข้าบ้าน หรือกินอาหารแล้วไม่มาให้เห็น ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่ามันหาย (ปริวิตกกันถึงเพียงนั้น..เง้อ)


ยิ่งถ้าเป็นแมวที่เคยเลี้ยงระบบปิด แล้วได้เวลาให้อาหารก็ยังหาไม่เจอ อันนี้ไม่ใช่แค่ปริวิตกฮ่ะ แต่แม่แมวพ่อแมวบางคนถึงกับจะเป็นบ้าเลยก็มี (บางคนยกมือบอกว่า..กรูด้วย T^T)

เอาเป็นว่าถ้าแมวกลับบ้านผิดเวลาเกิน 3 ชม.ก็ให้เริ่มออกตามหากันได้ละ อย่าได้นิ่งนอนใจเป็นอันขาด เพราะตราบใดที่แมวเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราควบคุมไม่ได้ โอกาสที่แมวจะเจออันตรายต่าง ๆ นานาก็มีสูง

เมื่อตอนที่แล้วบล็อกยัยกะทิได้แนะนำวิธีตามหาแมวกันไปบ้างนิดหน่อยแล้วค่ะ โดยแนะนำว่าหากหาแมวไม่เจอ ก็ให้ตามหาในบริเวณบ้านก่อน หากหาไม่เจอจริง ๆ คราวนี้อาจต้องเรียกกำลังเสริมที่เป็นคนในครอบครัวมาช่วยกันหาบริเวณรอบ ๆ บ้านหรือในรัศมีละแวกบ้านแล้วล่ะนะคะ

ทำไมแอดมินถึงแนะนำให้ใช้คนในครอบครัวออกตามหาน้องแมวล่ะ ให้คนอื่นช่วยตามด้วยไม่ได้หรือ คำตอบก็คือได้เหมือนกันค่ะ แต่การให้คนในครอบครัวเป็นกำลังหลักก็เพราะปกติแล้วน้องแมวของเรามักจะคุ้นเคยกับเสียงเรียกของคนในบ้าน ดังนั้น การได้ยินเสียง ได้เห็นคนที่คุ้นเคยก็จะทำให้เจ้าตัวแสบกล้าที่จะออกมาให้จับมากกว่า

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากำลังเสริมอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวจะไม่สำคัญนะคะ นาทีนั้น..ต่อให้ต้องเกณฑ์คนรู้จักมาทั้งหมู่บ้านเพื่อมาหาแมวสุดที่รักแค่ตัวเดียวอิชั้นว่าหลายคนก็คงยอมล่ะ

น้องแมวนี่เค้าจะจำเสียงของเจ้าของ,คนเลี้ยง หรือแม้แต่เสียงที่คุ้นเคยได้ค่ะ อย่างเช่น เสียงกระดิ่ง เสียงเขย่ากระป๋องอาหารเม็ด เสียงรถยนต์ของที่บ้าน เวลาเดินหาน้องแมวก็ควรที่จะส่งเสียงหรือนำเสียงที่เค้าคุ้นเคยติดไปด้วย เช่น เขย่ากระป๋องอาหารเม็ดพร้อมกับเรียกชื่อ หรือสั่่นกระดิ่งที่เค้าคุ้นเคยเวลาเรียกหา

นอกจากจะเดินดุ่ม ๆ หากันเองแล้ว ใช้ปากให้เป็นประโยชน์นะคะพี่น้อง >.< ถามค่ะถาม เจอยามถามยาม เจอลุงถามลุง เจอป้าถามป้า ถามแม่มมม..ให้หมดนั่นล่ะ เอ๊ะ..แอดมินเริ่มฮาร์ดคอเล็กน้อยทำไมคะเนี่ย ?? (คืออินค่ะอิน นอกจากเป็นห่วงไอ้เจ้าตัวแสบแล้ว ยังโมโหด้วยว่ามันหายไปไหน อ้อ..ถ้าปริ้นรูปตัวแสบออกไปให้คนอื่นดูด้วยก็จะดีมาก)

หากหาไม่เจอกันจริง ๆ ก็อย่าได้ลดละค่ะ พักเหนื่อยกันก่อน แล้วค่อยออกตามหาใหม่ หากลางวันแล้วไม่เจอ ก็ลองออกตามหากลางคืนดูบ้าง เนื่องจากแมวส่วนใหญ่มักจะกลัวสภาพแวดล้อมที่อันตรายและวุ่นวายในช่วงกลางวัน แต่จะค่อย ๆ ออกมาในยามวิกาลที่เสียงต่าง ๆ รอบตัวสงบกว่า

นอกจากจะตามหาด้วยกำลังคนแล้ว การใช้สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ก็ดูดีมีประโยชน์ค่ะ >.< ปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่ามีการประกาศลงเฟสบุ้คหรือตามกระทู้ ตามบอร์ดสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ให้ช่วยหาแมวหาหมาหรือหาสัตว์เลี้ยงที่หายไปจากบ้าน ทั้งนี้ก็ควรมีภาพ,พิกัดของสัตว์เลี้ยงที่หายไปด้วย ว่ามีลักษณะเด่นอย่างไร หายไปตอนไหน ละแวกไหน และทิ้งเบอร์โทรศัพย์ที่สะดวกให้ติดต่อ


ออกจากสื่อออนไลน์ก็มาถึงสื่อออนเสาไฟกันบ้างค่ะ ให้เราปริ้นรูปของเจ้าตัวแสบที่หาย พร้อมทั้งรายละเอียด เบอร์โทรศัพย์ รวมไปถึงอาจให้รางวัลสำหรับผู้พบเห็นและนำมาคืนด้วยก็ได้ แล้วก็เอาไปแปะไว้ตามเสาไฟหรือจุดต่าง ๆ (วิธีนี้หากพบแมวของเราแล้ว หรือผ่านไปนานจนแน่ใจว่าไม่พบแล้วก็ควรตามไปแกะออกด้วยนะคะ)

สำคัญที่สุดก็คือกำลังใจค่ะ จะบนบานศาลกล่าว จุดธูปบอกพระภูมิเจ้าที่ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพบูชาให้เราสามารถหาเค้าเจอก็ไม่เสียหาย และจะต้องไม่เลิกล้มการตามหาเร็วเกินไป เพื่อให้น้องแมวของเรามีโอกาสกลับคืนสู่อ้อมอกของเราให้มากขึ้นด้วย

สุดท้ายนี้อิชั้นจะบอกว่า..ทางแก้สำหรับปัญหานี้ก็คือการพยายามดูแลน้องแมวของเราอย่างใกล้ชิดค่ะ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันเหตุอันไม่คาดฝัน อันจะทำให้แมวของเราพลัดพรากไปจากบ้านของเราแบบไม่ได้ตั้งใจด้วย ในตอนหน้าของบล็อกยัยกะทิ เราจะมาดูข้อดีข้อเสียของการเลี้ยงแมวในระบบปิด และระบบเปิดกันนะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai



วิธีตามหาแมวหาย ตอนที่ 1


เมื่อตอนที่แล้ว แอดมินเอาวิธีป้องกันแมวหายมาฝากกันไปหน่อยนึงแล้วอ่ะนะคะ จริง ๆ วิธีป้องกันแมวหายนั้นมีเยอะแยะมากมายฮ่ะ ล้วนแล้วแต่เป็นข้อแนะนำที่น่าทำตามไม่เบา แต่ก็นะ..การเลี้ยงดูปูเสื่อแมวของแต่ละบ้านก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็สะดวกในการเลี้ยงระบบปิด กักบริเวณให้เค้าอยู่ในสถานที่ที่เราควบคุมได้(จะได้ไม่หาย) แต่บางบ้านก็ไม่สะดวกที่จะเลี้ยงแบบนั้น ก็ขอให้เลือกและปรับใช้ตามความเหมาะสมก็ละกันนิ


คราวนี้เราจะมาดูกันบ้างฮ่ะ ว่าถ้าหากว่าแมวของเราหายศรีษะไปหลายชั่วโมงถึงหลายวันโดยไม่กลับมากินข้าวบ้านซะที แล้วเราจะทำยังไงได้บ้าง เพราะหลาย ๆ คนก็เคยประสบปัญหานี้น่ะนะคะ ไอ้เรื่องแมวไม่กลับบ้านนี่มันปัญหาระดับชาติเลยฮ่ะ (หรา !!??) ยิ่งเป็นแมวแสนรักที่ประคบประหงมกันอยู่ทุกวันคืน กินด้วยกัน กลิ้งด้วยกันอยู่เป็นประจำ เวลามันหายขึ้นมา อกจะแตกกินไม่ได้นอนไม่หลับกันทีเดียว

วิธีการตามหาแมวหายมีอยู่หลายวิธีฮ่ะ

อันดับแรกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแมวหาย (เด็กหลังห้องบอกว่า..ที่รู้ว่าหายเพราะมันไม่อยู่บ้านน่ะสิ..ประเคนหยิกให้สักสิบสองทีซ้อนดีมั้ยคะ) คือปกติแล้วแมวนั้นจะมีเวลาประจำของตัวเองฮ่ะ เช่น ชอบออกไปเที่ยวนอกบ้านนะ แต่ก็จะกลับมาเมื่อถึงเวลาอาหาร หรือเคยออกไปเที่ยวตอนสาย ๆ พอตอนเย็น ๆ ได้เวลาก็ไต่รั้วกลับมาถึงบ้าน แต่ถ้าได้เวลาที่มันควรจะกลับ แล้วมันไม่กลับ อันนั้นก็ต้องเริ่มคิดกันละ ว่ามันไปไหน

ที่ประจำของยัยกะทิ ??!!
แมวไม่เหมือนเด็กที่พอหายครบ 24 ชม.ป๊าบ เราจะไปแจ้งตำหนวดให้ช่วยหาให้ แต่เราต้องลงมือหาเองค่ะ T^T สำหรับแมวที่เลี้ยงระบบปิด พอหายปั๊บ..ต้องตามหาเลยนะคะ เพราะแมวที่เลี้ยงแบบกักบริเวณนี้ เขาจะไม่รู้วิธีป้องกันตัวเองจากอันตรายในโลกภายนอกค่ะ เช่น รถรา ผู้คน หรือแม้แต่สัตว์ใหญ่ ๆ อย่างเช่นพี่หมา ดังนั้นใครที่เลี้ยงแมวระบบนี้ต้องให้ความสำคัญกับการหายของแมวให้มาก ๆ เนื่องจากแมวที่หลุดออกไป มักจะมีความตื่นกลัว และแมวที่ตื่นกลับก็มักจะเตลิดหนีไปไกลยิ่งขึ้นหากเจอสิ่งที่ทำให้ตกใจ หรือไม่ก็พยายามซ่อนตัวตามที่ต่าง ๆ ที่เรานึกไม่ถึง 

การตามหาแมวต้องเริ่มจากบริเวณบ้านของเราก่อนค่ะ พยายามหาในที่ต่าง ๆ ที่คิดว่าแมวจะไปซ่อนตัว,แอบหลับตามซอกมุมต่้าง ๆ ของบ้านก่อน ไม่ว่าจะเป็นที่ประจำหรือไม่ประจำ บางบ้าน น้องแมวชอบไปแอบหลับตามตู้,ซอกโต๊ะ ในพุ่มไม้ ในโอ่ง ในอ่าง ในกระถางก็มี บางตัวแพล่นไปแอบหลับอยู่ในห้องเครื่องรถ (ครีเอทมากจนน่าตี) หรือบางตัวเดาะปีนตามแมลงขึ้นไปบนต้นไม้,บนหลังคาบ้าน,ในฝ้าเพดาน แบบว่า..ตอนขึ้นหนูขึ้นได้ แต่เวลาจะลงหนูดันเจือกลงไม่ได้ซะงั้น คือหาให้ทั่ว ๆ ภายในบ้านก่อนเป็นลำดับแรก

หนูหายนะ...หาหนูหน่อย
เมื่อหาไม่เจอ..เอาล่ะสิ..ถ้าหาไม่เจอจริง ๆ ก็คงต้องอนุมานเอาละ ว่ามันคงต้องหลุดออกไปเที่ยวนอกบ้านแน่ ๆ หรือหากเป็นแมวเลี้ยงระบบเปิด แล้วมันไม่กลับมากินข้าวหรือเข้าบ้านตามเวลาเกิน 3 ชั่วโมง ก็คิดไว้ได้ก่อนเลยค่ะ ว่ามัน "หาย" หรือ "กลับไม่ได้" ไอ้เรื่องหายหรือกลับไม่ได้นี่คือ เราคงต้องเดาเอาล่ะ หากแมวเราเป็นแมวสวย มีชาติตระกูล รูปร่างน่าฟัด มีจุดเด่นที่คนอยากได้ ก็ต้องปริวิตกกันเรื่องโดนอุ้มไปรึเปล่าฟระ หรือหากเป็นแมวทั่วไป ก็อาจเป็นไปได้ว่าไม่เที่ยวเพลินก็ไปติดแหง็กอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ทำให้กลับบ้านลำบาก เช่น..เข้าไปในบ้านของคนอื่นแล้วออกไม่ได้,เจอหมาไล่ทำให้ต้องวิ่งเตลิดหนีไปไกล หรือตกลงไปในบ่อ ติดอยู่ตามซอกหลืบอะไรที่ช่วยเหลือตัวเองลำบาก (แค่คิดก็ไมเกรนขึ้นแว้ววว..)

เอ๊ะ..ชักเริ่มคุยยาว...ในตอนหน้าของบล็อกยัยกะทิ เราจะมาดูวิธีตามหาแมวหายกันต่อนะคะ 



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai





ป้องกันน้องแมวหายได้อย่างไรบ้าง


2-3 วันมานี้ อิ่เจ๊ของยัยกะทิมีเรื่องกังวลใจอยู่หลายเรื่องเลยฮ่ะ ทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ตัวเองแก้ไขเองไม่ได้ทั้งนั้น เพราะเป็นปัญหาที่คนอื่นก่อ ส่วนอิชั้นก็โดนร่างแหให้ตามไปแก้ ปัญหาก็คือบางครั้งรู้สึกว่าคนดีอยู่ยากจังเลย แต่ทำไมคนไม่ดีมันอยู่ง่ายกันจริงฟระ T^T แล้วไอ้ที่ทำความดี คิดดี มาทั้งหมดทั้งมวลนี่ มันไม่ได้ช่วยอะไรเราเลยหรือไง รู้สึกท้อนิด ๆ น่ะนะคะ

อ้าว..ว่าจะมาคุยกันถึงเรื่องวิธีป้องกันน้องแมวหาย ดั๊นนน..มาบ่นเรื่องตัวเองซะงั้น เฮ้อ..

เ้อ้า ๆ เข้าเรื่องฮ่ะ..


หลาย ๆ คนที่เลี้ยงน้องแมวอยู่ที่บ้าน อาจจะเคยเจอปัญหาที่ว่า จู่ ๆ วันนึงก็พบว่าเจ้าตัวแสบแสนรักของตัวเองหายไปไหนก็ไม่รู้ เรียกก็ไม่มา 2-3 ชั่วโมงก็พอว่า แต่บางที 5 วันก็ยังไม่กลับ ซ้ำร้ายกว่านั้น บางตัวหายไปเลยก็มี สร้างความวิตกกังวล ทุกข์ใจแสนสาหัจกับคนที่เป็นเจ้าของน่ะนะคะ

ก่อนอื่นเราก็คงต้องมาเรียนรู้กันก่อน ว่าจริง ๆ แล้วน้องแมวของเรานั้นมันเป็นสัตว์ที่รักอิสระเสรีเหนืออื่นใดเฮ่าะ ถึงแม้มันจะเป็นสัตว์ที่ขึ้นชื่อว่า ติดบ้าน ติดที่อยู่ ติดเจ้าของ แต่ก็มีหลายครั้งเลยทีเดียว ที่มันหลุดออกไปจากบ้าน ประเภทแอบออกไปเที่ยว แล้วกลับบ้านไม่ได้เนื่องจากสารพัดสาเหตุ

อย่ากระนั้นเลย ก่อนที่เราจะเจอภาวิกฤติทางด้านจิตใจเนื่องจากน้องแมวหาย เรามาดูวิธีป้องกันและสารพัดวิธีในการตามหาน้องแมวที่หายไปจากบ้านกันดีกว่านะคะ

วิธีป้องกันแมวหาย(โดยเฉพาะแมวตัวผู้ ที่เที่ยวแรดๆไปจีบสาวบ้านอื่นอยู่บ่อยๆ) อันดับแรกเลยก็คือ การจับแมวทำหมันฮ่ะ เนื่องจากการทำหมันจะทำให้แมวไม่หนีเที่ยวไกลบ้าน ไม่ไปจีบสาวนอกบ้าน ทำให้โอกาสที่แมวเราจะหายไปคราวละหลาย ๆ วันลดลง 

วิธีที่สองก็คือ การเลี้ยงแมวระบบปิดฮ่ะ เลี้ยงระบบปิดคืออย่างไร การเลี้ยงแมวระบบปิด ก็คือการเลี้ยงแมวที่เราจะต้องจำกัดบริเวณที่แมวจะอยู่ได้ เช่น เลี้ยงในกรง เลี้ยงเฉพาะในบ้าน หรือเลี้ยงในรั้วรอบขอบชิดที่แมวไม่สามารถหนีออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้ ซึ่งจะแตกต่างจากการเลี้ยงแมวระบบเปิด ซึ่งแมวจะสามารถออกไปเดินเที่ยวนอกบ้านได้ทุกวัน และจะกลับมาก็ต่อเมื่อ หิว หรือนึกได้ว่าต้องกลับเท่านั้น (มันไม่ได้คิดถึงใจคนรอเล้ยยย...)


วิธีที่สามก็คือ การใส่ป้ายชื่อ หรือปลอกคอที่มีทั้งชื่อและเบอร์โทรศัพย์ของเราเอาไว้ให้น้องแมว วิธีนี้มีข้อดีก็คือ หากน้องแมวของเราพลัดหลงไปไกลบ้าน หรือประสบเหตุที่ทำให้ไม่สามารถกลับมาถึงบ้านได้ แล้วมีคนสังเกตเห็น หรือให้ความช่วยเหลือ โอกาสที่คนช่วยจะโทรศัพย์มาตามเบอร์ที่ห้อยคอไว้ก็มีค่อนข้างสูงอยู่น่ะนะคะ มีข้อแม้อยู่สองข้อก็คือ...น้องแมวตัวนั้นต้องไม่สวยเตะตาหรือมีสายพันธุ์ที่ดีจนคนที่เก็บได้ละโมบอยากเลี้ยงไว้ซะเองด้วยนะ >.< แถมท้ายด้วยว่า น้องแมวต้องไม่ถูกอุ้มหายไปด้วยฝีมือคนอื่นที่ไม่ว่าจะเห็นป้ายห้อยคอยังไงก็คงไม่ปล่อยกลับคืนมาแน่

วิธีที่สี่ก็คือ การสรรหาอุปกรณ์ไฮเทคต่าง ๆ นานามาเพื่อใช้ในการช่วยค้นหา หากเกิดภาวะการณ์แมวหายฮ่ะ อย่างเช่น พวกปลอกคอที่มี GPS หรือมีเครื่องมือค้นหาต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีวางขายอยู่ในหมู่คนมีตังค์มากมาย โดยเฉพาะต่างประเทศ แต่ก็นั่นล่ะ บางเครื่องก็มีประสิทธิภาพดีพอไว้ใจได้ แต่บางเครื่องก็ไม่ได้ทำได้ตามที่อวดอ้าง ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ...มันแพงจนบางครั้งคนเลี้ยงแมวอย่างพวกเราเอื้อมไม่ค่อยจะถึง

วิธีที่ห้าซึ่งเป็นวิธีสุดท้ายที่จะช่วยป้องกันแมวหายแบบเบสิคมาก ๆ ก็คือ หากจะพาแมวออกไปข้างนอก ก็ควรจับน้องแมวใส่กรง,ตะกร้า หรือมีสายจูงให้เรียบร้อย ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันน้องแมวตื่นกลัวกับสภาพแวดล้อมจนดิ้นหลุดหายไปนั่นเอง

ในตอนหน้าของบล็อกยัยกะทิ เราจะมาดูวิธีตามหาน้องแมวของเราที่หายไปจากบ้านกันบ้างนะคะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai






แมวก็ซ่า หมาก็จ๋อง


จริง ๆ แล้วอิชั้นเคยเปิดดูคลิปเยอะแยะ ที่มีน้องหมากับน้องแมวเป็นเพื่อนเกลอ รักกันสนิทแนบแน่น และเป็นคลิปที่มักจะเรียกรอยยิ้มของอิชั้นได้บ่อย ๆ อยู่เป็นประจำฮ่ะ

สี่เดือนที่ผ่านมา ยัยกะทิเป็นแมวหัวเดียวกระเทียมลีบ คือเป็นแมวเพียงตัวเดียวในตึกที่นอกจากจะถูกเลี้ยงระบบปิด คือขังให้อยู่ในกรงใหญ่นานกว่า 20 ชั่วโมงต่อวันแล้ว ยังไม่สามารถที่จะออกไปสรวลเสเฮฮาพบปะเพื่อนแมวใหม่ ๆ ในละแวกตึกเดียวกันได้อีกด้วย


เพราะพอออกจากกรงปุ๊บ อิชั้นก็จะอุ้มมันเข้าออฟฟิศทันที ดังนั้น 3-4 ชั่วโมงที่กะทิอยู่ในออฟฟิศ เพื่อนที่กะทิจะเล่นได้ด้วย ก็มีเพียงพี่เสมียน 2 คนหรือไม่ก็ป้าแม่บ้านที่เอ็นดูกะทิอยู่ไม่น้อยเช่นกันเท่านั้น

หลายครั้งหลายหนฮ่ะ ที่อิชั้นพยายามหัดให้กะทิผูกสัมพันธไมตรีกับเจ้าแครอท หมาชิสุวัยขวบนึงของพี่แม่บ้าน ที่มักจะติดสอยห้อยตามพี่เสมียนมานอนเล่นที่ออฟฟิศอยู่บ่อย ๆ เพื่อให้กะทิหายเหงา มีเพื่อนทีีมีขนแบบเดียวกันมั่ง(ถึงจะต่างสปีชี่ส์ก็เหอะ แหะ ๆ) แต่ก็อย่างว่าล่ะเนอะ หมากับแมว ที่ไม่เคยเลี้ยงด้วยกันมาก่อนเลย จะให้คุ้นเคยกันโดยเร็ว เอิ่ม..อิชั้นก็คงแค่ฝันไปอ่ะ

วิธีก็คือ ชวนแครอทมาเล่นที่ออฟฟิศบ่อย ๆ ฮ่ะ แล้วก็ปล่อยยัยกะทิจากกรงเข้ามาอยู่ในออฟฟิศด้วย ในพื้นที่จำกัดแค่นั้น ไม่อยากอยู่ด้วยกันก็ต้องอยู่ล่ะ 555+ แรก ๆ ก็ระแวงกันมั่ก ๆ แครอทเองขึ้นชื่อว่าเป็นหมาเนิร์ด...เรียบร้อย ขี้กลัว ส่วนยัยกะทิก็ขึ้นชื่อว่าแสบเกินพิกัด ผลสุดท้าย เมื่อเอามาอยู่ด้วยกันบ่อยครั้งเข้า ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่า...ยัยกะทิขึ้นแท่นเป็นพี่ใหญ่คอยแหย่แครอทต่าง ๆ นานาไปเรียบร้อย

อย่ากระนั้นเลย เรามาดูภาพกีฬามัน ๆ กันดีกว่านะคะ อิอิ..


เกน้องตลอด ๆ..>0</


เรื่องและคลิปประกอบโดย Pacharawalai









วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประเภทของทรายแมว


เมื่อตอนที่แล้วเราคุยกันไปละถึงเรื่องการเลือกกระบะเอามาทำส้วมแมว มาวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องประเภทของ ทรายแมว ที่วางขายกันอยู่ในท้องตลาดกันบ้าง เพราะทรายแมวที่วางขายอยู่นั้นไม่ได้ผลิตขึ้นจากวัตถุดิบชนิดเดียวกัน แต่ทำมาจากวัตถุดิบหรือส่วนประกอบหลายชนิดและแต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อเสียให้เลือกใช้แตกต่างกันด้วยน่ะนะคะ


ทรายแมว นั้นสามารถแบ่งได้หลายประเภทอย่างที่บอกฮ่ะ ข้อมูลบางส่วนแบ่งประเภทของทรายแมวออกเป็น 2 ประเภท คือแบบดั้งเดิมกับแบบจับตัวเป็นก้อน แต่ก็มีข้อมูลบางแห่งแบ่งประเภทของทรายแมวออกได้ถึง 4 ชนิดด้วยกันได้แก่

1.ทรายแมวชนิดไม่จับเป็นก้อน (Non-clumping conventional litter) ข้อด้อยของทรายแมวชนิดนี้ก็คือเมื่อเปียกทรายจะไม่จับตัวเป็นก้อน ดังนั้นผู้เลี้ยงก็ต้องพยายามตักอึ-ฉี่ หรือทำความสะอาดกันทุกวัน ไม่งั้นกระบะทรายก็จะส่งกลิ่นเหม็นออกมา (แล้วมันจะต่างอะไรกับทรายก่อสร้างที่ยัยกะทิใช้อยู่ฟระ)

2.ทรายแมวชนิดจับเป็นก้อน (Clumping litter) ทรายชนิดนี้จะมีสารเบนโทไนท์ (bentonite)ซึ่งเมื่อสัมผัสความชื้นหรือน้ำ สารจะจับตัวเป็นก้อนแข็งทำให้แยกเฉพาะส่วนที่เป็นก้อนออกมาง่าย ข้อเสียก็คือเนื้อทรายจะละเอียดกว่าทรายชนิดอื่น ทำให้มักจะติดเท้าแมวเราไปเลอะเทอะตามที่ต่าง ๆ ของบ้านด้วย ที่สำคัญ ใครที่มักง่ายเอาทรายแมวชนิดนี้ไปทิ้งลงชักโครกโปรดพึงพิจารณาด้วยฮ่ะ เพราะหากทรายชนิดนี้เจอน้ำเข้ามันจะจับตัวแข็งเป็นก้อน และจะทำให้ส้วมและท่อน้ำของเราเราตันจนถึงขนาดต้องเรียกช่างมาทุบมาซ่อนกันเป็นการยกใหญ่เลยก็ได้

3.ทรายแมวชนิดย่อยสลายทางชีวภาพได้ (Biodegradable litter) ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะทำมาจากพืชชนิดต่างๆ เช่น เศษไม้สน ก้อนขี้เลื่อย ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด เยื่อไม้ ข้าวสาลี เปลือกถั่ว (เยอะเนอะ) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้เลี้ยงแมวส่วนหนึ่งที่ใส่ใจถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ก็อย่างว่า ราคาสูงไปหน่อย เหมาะสำหรับคนที่กลัวน้องแมวจะเผลอเลียหรือกลืนทรายแมวเข้าไปขณะเลียทำความสะอาดเท้าตัวเองอ่ะนะคะ

4.ทรายแมวชนิดซิลิก้าเจล (Siliga gel litter) ดูเหมือนทรายแมวชนิดนี้จะมีคุณสมบัติเริศกว่าทรายแมวชนิดอื่นฮ่ะ เนื่องจากทรายแมวชนิดซิลิก้าเจล จะทำมาจากวัตถุดิบประเภทโซเดียมซิลิเกต (sodium silicate) ซึ่งมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก มีความพรุน (porous) ดูดซับความชื้นได้สูง และดักกลิ่นได้นานกว่าทรายแมวชนิดอื่น แถมยังมีอายุการใช้งานนานมากกว่าด้วย

ที่สำคัญก็คือไม่ว่าเราจะเลือกใช้ ทรายแมว ชนิดไหน ทั้งแบบเสียเงิืนเยอะ ๆ หรือแบบเสียตังค์น้อย ๆ อย่างที่ยัยกะทิใช้อยู่ เราก็ควรหมั่นทำความสะอาดกระบะทรายแมวทุกวันอ่ะนะคะ อย่างน้อยก็ควรนำกระบะทรายแมวออกไปตากแดดสักอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อกำจัดกลิ่นและเชื้อโรคไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของแมว

สุดท้ายนี้เรามาดูภาพยัยกะทิตอนอิชั้นเปลี่ยนทรายธรรมดา ๆ ในส้วมแมวให้มันกันนะคะ


เก็บภาพมาได้อิ่ตอนเปลี่ยนทรายในกระบะให้ใหม่ฮ่ะ..(อิชั้นเปลี่ยนอาทิตย์ละครั้ง)..ไม่รู้กลิ่นทรายใหม่มันหอมชื่นใจหรือยังไง..พอรู้ว่าทรายใหม่ปั๊บ โดดขึ้นขอบกระบะปุ๊บ..


โดดดูยังไม่พอฮ่ะ..มีการควักทรายขึ้นมาดมดั้ว....แมวบ้าไรฟระ ต้องตรวจสอบคุณภาพส้วมก่อนใช้กันถึงขนาดเน้ >0<

เอาเป็นว่างานนี้อิชั้นขอสรุปง่าย ๆ ว่า สุขภาพที่ดีของแมวเริ่มต้นที่ส้วมค่ะ..โอเค.นะคะ (ดักตีหัวแล้วลากเข้าถ้ำได้เลยงี้..5555+) แล้วกลับมาพบกับยัยกะทิได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ


เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai






คุยเฟื่องเรื่องส้วมแมว (มันต้องคุยด้วยเร๊อะ..แอร๊ย !!??)


นับตั้งแต่รับยัยกะทิเข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัวคงต้องบอกว่ายัยกะทิไม่เคยทำให้วุ่นวายใจในเรื่องของการฉี่อึไม่เป็นที่เลยฮ่ะ

อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้าที่จะมาอยู่กับอิชั้น เจ้าของเดิมเค้าได้ทำการฝึกให้กะทิใช้กระบะทรายเป็นส้วมมาอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น แค่อิชั้นจัดหาทรายมาใส่กระบะไว้ ยัยกะทิก็เข้าใช้อย่างไม่อิดออด


หลาย ๆ คนคงมีคำถามว่าแล้วทรายที่ใช้เป็น ส้วมแมว นี่ ใช้ทรายแบบไหนกันนะ ต้องใช้ทรายแบบที่วางขายตามร้านเพ็ทช้อปอย่างเดียวรึเปล่า หรือใช้ทรายทั่วไป ที่เค้าใช้ถมที่หรือก่อสร้างนี่นั่นโน่นกัน อิชั้นจะบอกว่าอิชั้นใช้อย่างหลังนี่แหละฮ่ะ โชคดีที่กะทิไม่ใช่แมวเรื่องมากแถมไม่ได้เป็นการเลี้ยงในระบบปิดที่อุดอู้ คือกรงอยู่ในที่โล่ง มีลมพัดผ่านตลอด (กลิ่นอบอวลหอมชื่นจายยย.. T^T) ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อหาทรายราคาแพง ๆ มาใช้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ


แต่ก็ไม่ไ้ด้หมายความว่า คนที่ซื้อทรายมาใช้เป็นห้องน้ำแมวนั้นจะทำผิดแต่อย่างใดนะคะ เพราะจริง ๆ แล้ว ทรายแมว โดยเฉพาะนี่ก็มีข้อดีอยู่หลายข้อแหละ แต่ก่อนที่เราจะไปดูข้อดีของการใช้ทรายแมวเราคงต้องมาเรียนรู้กันสักนิด ว่าปกติแล้วแมวของเราจะขับถ่ายบ่อยแค่ไหนน่ะนะคะ

โดยทั่วไปแมวนั้นจะขับถ่ายกันวันละ 2-4 ครั้งฮ่ะ ดังนั้นหากแมวไม่ได้รับการฝึกให้ขับถ่ายให้เป็นที่ คุณ ๆ เจ้าของก็อาจจะต้องปวดหัวกับการทำความสะอาดบ้านที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนกันไปไม่รู้จักหยุดจักหย่อน

การฝึกให้น้องแมวของเราใช้งาน กระบะทราย เป็นนั้นเป็นเรื่องที่สมควรทำอย่างยิ่งฮ่ะ โดยเราจะมาเริ่มต้นที่การเลือกและเตรียมกระบะทรายกันก่อน

กระบะทรายหรือห้องน้ำแมวที่เหมาะสมนั้น ควรจะมีขนาดอย่างน้อย 1.5 เท่าของลำตัวแมวฮ่ะ เนื่องจากเวลาขับถ่าย แมวจะเข้าไปอยู่ในกระบะทรายทั้งตัว และควรเลือกกระบะทรายชนิดที่ทำความสะอาดง่าย ไม่อมน้ำ (ที่เห็นทั่วไปก็จะทำจากวัสดุประเภทพลาสติก) ซึ่งไอ้เจ้ากระบะนี้ก็มีรูปร่างหน้าตาให้เลือกหลายหลากเช่นกัน บางอันก็ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เป็นห้องน้ำแมวโดยเฉพาะ มีฝาคงฝาครอบดิบดี ป้องกันกลิ่น ป้องกันทรายกระเด็นเวลาแมวคุ้ยทรายกลบอึ มีความสงบเงียบส่วนตัว ป้องกันภาพหรือวิสัยทัศน์ที่ไม่พึงประสงค์ แต่ข้อเสียก็คือเมื่อมันมีฝาครอบ ก็ทำให้การระบายอากาศไม่ค่อยดี จึงจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดกันบ่อย ๆ

ข้อดีของการเลือกใช้ส้วมแมวสำเร็จรูปแบบนี้ก็คือนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังเหมาะสำหรับคนที่เลี้ยงแมวระบบปิด คือเลี้ยงไว้ในบ้าน,คอนโด,อพาร์ตเม้นท์ ที่ซึ่งมีสถานที่ไม่มากพอที่จะให้น้องแมวออกไปลั้นลา หรือไม่มีที่ว่างพอจะตั้งส้วมแมวไว้ข้างนอกนั่นเองน่ะนะคะ

ถามว่าจำเป็นไหมที่เราจะต้องซื้อ ส้วมแมว หรือกระบะทรายแมวเอามาทำห้องน้ำให้แมวเราอึฉี่ราคาแพง ๆ จริง ๆ แล้วก็ไม่จำเป็นหรอกฮ่ะ หากเราต้องการประหยัดสตางค์ เราก็เลือกใช้กระบะทรายแบบที่เป็นกะละมังพลาสติกก็ได้ โดยเลือกให้มีขอบกะละมังสูง ๆ หน่อยเพื่อป้องกันทรายกระเด็นเวลาเหมียวมันกลบอึ ยัยกะทิก็ใช้กะละมังซักผ้านี่ล่ะแทนกระบะทรายที่วางขายตามท้องตลาด

ที่สำคัญก็คือไม่ว่าคุณจะใช้กระบะทรายแบบไหน คุณก็ควรทำความสะอาดกระบะทรายเป็นประจำด้วยการตักอึหรือฉี่ของเค้าอย่างน้อยวันละครั้งเพื่อไม่้ให้กลิ่นมันรบกวนใจ และควรนำกระบะทรายออกตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อสักอาทิตย์ละครั้ง (แต่ขอบอกว่าอิชั้นตากทั้งกรงทั้งกระบะทรายยัยกะทิทุกวันตราบใดที่มีแดด)

ในตอนหน้าของบล็อกยัยกะทิ เราจะมาดูชนิดของทรายแมวที่วางขายอยู่ในท้องตลาดกันบ้างนะคะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai