วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

มาเรียนรู้ภาษาแมวกันเถอะ


อะฮ้า..งานนี้ชาวบล็อกอาจจะนึกว่าอิชั้นกำลังจะมาสอนให้ร้องเป็นภาษาแมว..อ่ะ..จิ่บร้าเร๊อะ ถึงเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ประตูอาเซียนอะไรนั่น แต่มันก็ไม่มีภาษาแมวให้เรียนรู้ไว้คุยกับเพื่อนบ้านนะ อุอุ

แต่ถึงเราจะึคุยกับแมวด้วย ภาษาแมว ไม่รู้เรื่อง แต่รู้มั้ยคะว่า แมว เองก็มีวิธีที่จะสื่อสารกับเราให้เข้าใจอยู่เหมือนกัน ภาษาที่ว่านั้นก็คือภาษากายนั่นเองฮ่ะ


หลาย ๆ คนคงเคยสังเกตมาก่อนแล้ว ว่าแมวมักจะแสดงกิริยาท่าทางกับเราต่าง ๆ นานาเสมอ อาทิเช่น เอาลำตัวมาสี ตั้งหางตรงแล้วเดินเข้ามาหา ทำท่าโก้งโค้ยยงโย่ยงหยกจะกระโดดเข้าใส่ หรือร้องเสียงหลงเวลาเจอหน้าเรา แล้วไอ้ภาษากายต่าง ๆ นานาเหล่านั้นมันหมายถึงอะไรอ่ะ วันนี้เรามาเรียนรู้ภาษากายของแมวเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่น้องแมวกำลังจะบอกเราให้มากขึ้นกันนะคะ

อันดับแรกที่เราจะสังเกตกันได้ง่าย ๆ ก็ตรงการแสดงออกของบริเวณส่วนใบหน้าแมวฮ่ะ อาทิเช่น ในส่วนของหู หูนั้นเป็นส่วนที่รับการสัมผัสจากสิ่งต่าง ๆ ได้ไวมาก หากเห็นว่าหูแมวของเราโค้งไปทางด้านหลัง แสดงถึงการเตือนที่จะจู่โจมศัตรูที่อยู่ตรงหน้า แต่หากโค้งไปด้านหลังด้วย แล้วดึงต่ำลงด้านข้งด้วย นั่นแสดงว่าแมวนั้นพร้อมที่จะป้องกันตัวและต่อสู้น่ะนะคะ


ต่อไปก็คือหนวดค่ะ ถ้าเราหนวดแมวแผ่ออก แสดงว่าแมวกำลังเครียดหรือสนใจในอะไรบางอย่าง แต่ถ้าหนวดดูหุบราบไปไว้กับข้างแก้มแมว แสดงให้เห็นว่าแมวกำลังมีสภาพจิตใจที่สงบและสบายใจเป็นอย่างมาก

มาถึงการสังเกตดวงตาของน้องแมวกันบ้างค่ะ ปกติแล้วหากแมวมีม่านตาที่หดเล็กลง นั่นแสดงว่าแมวกำลังให้ความสนใจหรือมีความตึงเครียดกับอะไรบางอย่าง แต่หากม่านตาเปิดกว้าง นั่นแสดงถึงความประหลาดใจ กลัว หรือพร้อมจะป้องกันตัวน่ะนะคะ

อันดับต่อไปก็คือ การหาวฮ่ะ การหาวของแมวไม่ได้แสดงว่าแมวนั้นกำลังง่วงนอนนะคะ แต่เมื่อแมวหาว นั่นแสดงว่าแมวกำลังบอกถึงความมั่นใจ แน่ใจ คล้าย ๆ กับจะบอกว่าตอนนี้ฉันสบายดีนะ อะไรประมาณนั้น

ในตอนหน้าของบล็อกยัยกะทิ เราจะมาดูภาษากายของแมวอื่น ๆ กันต่อค่ะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ




อ้างอิงข้อมูลจาก beamjanekwang.blogspot.com/p/blog-page_6824.html

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

กรงบุมุ้งลวดของยัยกะทิ


เมื่อหลายตอนก่อนนู้น..อิชั้นแวะมาบอกเรื่องความพยายามในการป้องกันยุงให้ยัยกะทิยามค่ำคืนไปแล้วอ่ะนะคะ ไม่ว่าการจะครอบกรงยัยกะทิด้วยมุ้่งคน มุ้งไนล่อน หรือแม้แต่ความคิดที่จะเอายัยกะทิเข้ามานอนในออฟฟิศเพื่อหนียุงที่ตามดูดเลือดยัยกะทิเป็นก้อนๆ (เยอะขนาดนั้นจริง ๆ) เลยด้วยซ้ำ


ที่สุด..หลังจากอดทนอยู่นานพอดู อิชั้นก็สั่งตัด มุ้งลวด มาแปะข้าง กรง ยัยกะทิสำเร็จจนได้ฮ่ะ

จริง ๆ แล้วไอ้เรื่องบุ มุ้งลวด ให้กรงกะทินี่ อิชั้นคิดมานานแล้วฮ่ะ แต่เนื่องจากหาช่างที่จะมาวัดขนาดกรงเพื่อตัดให้พอดีไม่ได้จริง ๆ เพราะส่วนใหญ่ ช่างแถวนี้่ก็มักจะไม่ค่อยรับงานเล็ก ๆ แบบนี้ (แค่บอกว่าจะจ้างไปตัดมุ้งลวดให้กรงแมว..แม่มมม..ก็ไม่มาแล้ว >.<) โชคดีที่คราวนี้ทีึ่ตึกเองมีเคสที่ต้องตัดกระจกมาเปลี่ยนบานประตูที่แตก และช่างกระจกก็ดันตัดมุ้งลวดเป็นด้วย อิชั้นก็เลยได้ที ลากช่างมาวัดกรงยัยกะทิซะเลย

รออยู่เกือบสองอาทิตย์เต็ม ๆ ฮ่ะ ที่สุด กรงยัยกะทิก็ได้บุมุ้งลวดเสร็จสมบูรณ์

สนนราคาของมุ้งลวดอันนี้อยู่ที่ 2,500 บาทฮ่ะ ที่แพงขนาดนี้เพราะตัวมุ้งลวดนั้นไม่ได้แปะอยู่กับกรงโดยตรงอ่ะนะคะ แต่มันเป็นการทำกรอบต่างหากขึ้นมาเพื่อให้ตัวมุ้งลวดอยู่ห่างจากซี่กรงด้านละ 1 นิ้ว ข้อดีก็คืออย่างน้อยก็ป้องกันยัยกะทิใช้เล็บข่วนหรือจิกได้ประมาณหนึ่ง แถมบานมุ้งลวดเอง อิชั้นก็สั่งให้สามารถถอดออกมาล้าง หรือถอดออกมาเพื่อให้ยัยกะทิได้รับลมชมวิวช่วงกลางวันได้ด้วย เรามาดูหน้าตาของกรงบุมุ้งลวดของยัยกะทิกันนะคะ


ถอดบานมุ้งแล้ว หน้าตาแบบนี้ อิอิ...♥ 


บานมุ้งลวดถอดได้นี่มีประโยชน์มากฮ่ะ นอกจากจะสามารถถอดมาล้างทำความสะอาดได้แล้ว หากเกิดเหตุการณ์ที่มุ้งลวดชำรุด เราก็สามารถเปลี่ยนเฉพาะเนื้อมุ้งลวดได้ โดยไม่ต้องสั่งตัดใหม่แต่อย่างใด


กะทิช้อบ..ชอบอ่ะนะคะ หลายครั้งที่อิชั้นย่องมาดูมันตอนเผลอ ก็พบว่ายัยนี่นอนอยู่บนชั้นนอนส่วนตัว ปลอดยุงสบายแฮ


แม้กระทัุ่งใต้กรงก็มีบานมุ้งกันยุงฮ่ะ อาจจะยุ่งยากเล็กน้อยในการกวาดทำความสะอาด เพราะเศษทราย,อาหารต่าง ๆ มักจะหลุดร่วงลงไปอยู่ในบานมุ้งใต้กรงประจำ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะบานมุ้งข้างใต้ ก็ถอดออกมาทำความสะอาดได้เหมียล์ลกัน...


อุ่นใจแล้วเนอะ ที่เห็นกะทิปลอดภัยจากยุงตัวร้ายแบบนี้ ♥


อิอิ..ชอบชิมิล่า....♥


เห็นหน้ายัยกะทิฟิน ๆ แบบนี้แล้ว ก็ให้นึกสงสัยค่ะ ว่าแมวนั้นจะมีวิธีสื่อสารความต้องการออกมาเป็นภาษาที่เราเข้าใจได้ยังไง ในตอนหน้าเรามาดูภาษากายแบบต่าง ๆ ของแมวกันนะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai




วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

กะทิ..อิ่แมวขี้อิจฉา


จั่วหัวเรื่องไว้ด้วยความหมั่นไส้ 555+ แต่จริง ๆ แล้วก็รักมันแหละ เพราะความขี้อิจฉาของยัยกะทำ ทำเอาอิชั้นยิ้มได้ทู๊กก...วันเลยทีเดียว


ช่วงนี้ยัยกะทิได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของออฟฟิศไปอย่างสมบูรณ์แบบฮ่ะ ทุกครั้งที่อิชั้นไปเซ็นต์งาน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้า สาย บ่าย หรือเย็น ก็จะต้องมีสักพักใหญ่ ๆ ที่กะทิถูกปล่อยจากกรงเข้ามาวิ่งเล่นในออฟฟิศ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ได้มีแต่อิชั้นคนเดียวที่อยู่ในออฟฟิศอ่ะนะคะ แต่ยังมีคนอื่น ๆ ที่แวะเวียนมาส่งงานอิชั้นอยู่เป็นระยะ ๆ ไม่เว้นแม้แต่นายแม่ ที่เดี๋ยวนี้หลงเสน่ห์ยัยกะทิไปซะแระ T^T จับได้เป็นจับ กอดได้เป็นกอด นี่ถ้าเอากลับมาบ้านได้โดยไม่ต้องห่วงว่ามันจะมาตีกับไอ้เจ้าหมาครีมที่บ้าน อิชั้นคิดว่าแม่คงหอบกลับมาเลี้ยงที่บ้านด้วยละ


กิจวัตรประจำวันของอิชั้นเมื่อเอายัยกะทิออกมาจากกรงก็คือ การเก็บกวาดกรง เปลี่ยนน้ำในถ้วยน้ำ เติมอาหาร ตักเศษซากอารยธรรมในกระบะทราย >.< ของยัยกะทิฮ่ะ จากนั้นจึงได้เวลามานั่งทำงาน แล้วก็มีหลายครั้งเลยทีเดียวที่นั่งทำงานอยู่ เจ้าแครอท หมาชิสุของแม่บ้านจะเข้ามาแจมด้วย ซึ่งก็นะ..ทุกครั้งที่แครอทมา กะทิก็จะกลายร่างเป็นขาใหญ่ประจำออฟฟิศ คอยไล่ตะปบ ไล่ถีบแครอทอยู่เรื่อย ยิ่งถ้าเห็นมีคนเล่นกับแครอท กะทิก็จะทำตาวาวปานประหนึ่งถูกแย่งความรักความสนใจไปซะทุกครั้ง หลายครั้งเลยทีเดียวที่จะเห็นกะทิมานั่งจ้องแครอทที่ถูกโอ๋อยู่บนโซฟา ด้วยท่าทางเอาเรื่อง


จ้องอย่างเดียวไม่พอ กระดึ้บ ๆ ไปนอนใกล้เค้าดั้ว


คือ..แค่ดูตาวาว ๆ ก็รู้ละ ว่ายัยนี่จะไปหาเรื่องเจ้าแครอทอ่ะ สงสารแต่แครอท พอพี่กะทิเขยิบเข้ามาใกล้ป๊าบบบ...ก็เที่ยววิ่งหาคนนู้นคนนี้ให้ช่วยที..


พี่เสมียนบอกว่า โกรธกะทิแระ..ชอบแกล้งแครอท :D


แต่ท้ายที่สุดแล้ว ที่ประจำของมันก็คือ ^^"..ตักอิชั้นนี่ล่ะ


...♥♥♥...


...♥♥♥...


5555+ เอามันมานินทาด้วยความหมั่นไส้..ก็หวังว่ามันจะอยู่เป็นอิ่แมวน่าหมั่นไส้ของอิชั้นไปอีกนาน ๆ น่ะนะคะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ





เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai


วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

ตำแยแมว


เขียนเรื่องไผ่เงินไปตอนนึงละ จะไม่หยิบเอาเรื่อง ตำแยแมว มาเขียนอีกสักตอนก็ดูเหมือนจะขาด ๆ อะไรไปซะอย่าง อุอุ เอาเป็นว่า เรามาทำความรู้จักกับไอ้ต้นตำแยแมวอันเลื่องชื่อในหมู่คนชาบูแมวด้วยกันนะคะ


ต้นตำแยแมว หรือที่เรารู้จักกันในอีกชื่อว่า ต้นกัญชาแมว นั้น เป็นพืชที่ขึ้นและพบเห็นอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติฮ่ะ (แต่ทำไมอิชั้นไม่เคยเห็นเลยฟระ) ถึงแม้ว่าจะชื่อตำแยแมว แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดอาการคันแก่ผู้ที่ได้สัมผัสมันแต่อย่างใดนะคะ ตรงกันข้าม เจ้าต้นตำแยแมวนี้มีคุณอเนกอนันต์สำหรับแมวจริง ๆ เนื่องจากรากของต้นตำแยแมวนั้น จะมีกลิ่นที่ดึงดูดแมวได้เหมือนฟีโรโมนที่เป็นฮอร์โมนดึงดูดเพศตรงข้าม แถมยังเป็นยาถอนพิษโรคของแมวได้เป็นอย่างดี โดยแมวที่กินรากของต้นไม้ชนิดนี้เข้าไปจะมีการสำรอกหรืออาเจียนออกมา ถือเป็นยาถอนพิษสำหรับแมวชนิดหนึ่ง


ลักษณะของต้นตำแยแมวนั้น ลองเดินไปสำรวจที่ป่าชื้น ๆ หรือพงข้างทางใกล้ ๆ บ้านของเรากันได้ฮ่ะ ต้นของมันจะขึ้นทั่วไปเป็นกลุ่ม ๆ ความสูงประมาณ 2 ฟุตเศษ ลำต้นตรง ใบกลมโต ปลายใบมีลักษณะแหลมเล็กน้อยและมีขอบใจเป็นจักรเล็ก ๆ ใบมีลักษณะเป็นขนขนาดโตกว่าใบพุทรานิดหน่อย ส่วนดอกนั้นจะมีลักษณะเป็นช่อ ผลแห้งแตกได้และมีเมล็ดอยู่ภายใน 1 เมล็ด ส่วนใหญ่แล้วเราจะพบเห็นต้นตำแยแมวตามดินที่เย็น ๆ หรือตามสถานที่รกร้างทั่วไปหรือแม้แต่ตามสถานที่ก่อสร้างที่มีอิฐหรือปูนเก่า ๆ ผุ ๆ น่ะนะคะ

อ่ะ..เกริ่นมาซะยาวแระ เรามาดูหน้าตาของไอ้เจ้าต้นตำแยแมวไว้เป็นตัวอย่างในการค้นหากันค่ะ




เรียบเรียงข้อมูลจาก welikecat.com/cat-andtree-seeded-mercury.html
ภาพประกอบจาก oknation.net/blog/ddstory/2011/04/29/entry-1




วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

ไผ่เงินของยัยกะทิ


แอดมินเขียนเรื่องอาหารแมวมาหลายตอน..เริ่มตาลาย 5555+ จริง ๆ แล้วการจะหาอะไรใส่ปากให้แมวของเรานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งน่ะนะคะ เพราะบางครั้งแมวมันก็ไม่รู้เรื่องหรอกว่าอะไรกินได้ อะไรกินไม่ได้ อะไรดีกับสุขภาพของตัวเอง อะไรมีโทษกับสุขภาพตัวเอง ก็คงเหมือนกับมนุษย์นี่แหละมั้ง บางครั้งรู้ทั้งรู้ว่ามันมีโทษกับร่างกายล่ะ แต่ก็ติดรสชาดจนขาดมันไม่ได้ ท้ายที่สุดก็เหมือนฆ่าตัวเองทางอ้อมไปวัน ๆ (รู้สึกร้อนสันหลังเล็ก..เล้กกก..5555+)

และเนื่องจากหาข้อมูลเขียนเรื่อง พืชผักที่แมวกินได้ และมีประโยชน์สำหรับ แมว ด้วยมาแล้วฮ่ะ เมื่ออาทิตย์ก่อนอิชั้นก็เลยลงทุนไปเดินหาซื้อผักหญ้าที่แมวสามารถกินได้ นั่นก็คือ ไอ้เจ้าต้นไผ่เงิน นั่นเองน่ะนะคะ ตอนแรกอิชั้นถ่อขับรถไปไกลถึงตลาดต้นไม้สี่แยกอินโดจีน แต่แม่มมม..เดินหาจนผิวดำลงสองสเต็ปก็ยังไม่เจอ ท้ายสุดแล้ว ก็กลับมาได้จากตลาดต้นไม้เล็ก ๆ แถวตลาดโคกมะตูมในเมืองนี่เอง


เรามาดูหน้าตาของไอ้เจ้าต้นไผ่เงินที่หายากหาเย็นกันนะคะ


สนนราคาของไอ้เจ้า ไผ่เงิน (อยู่ในถุงหิ้วพลาสติก) ก็คือต้นละ 35 ฮ่ะ แต่ที่ร้านนี้ขาย 3 ต้น 100 อิชั้นก็เลยสอยมา 2 ต้น แล้วก็แอบเหน็บพุดพิชญามาต้นนึง เอาไว้ปลูกเอง 555+ :P กะว่าให้ยัยกะทิลองชิมดูก่อนว่าจะกินเป็นมั้ย ถ้ากินเป็นคราวหน้าก็จะซื้อที 3 ต้นเลย

พอกลับมาถึงตึกก็จับเข้าไปตั้งไว้ในกรงกะทิเลยฮ่ะ หน้าตาของไผ่เงินดูเขียวชะอุ่มพุ่มไสว ส่งเสริมพื้นที่กรงยัยกะทิมั่ก ๆ ♥♥


จริง ๆ แล้วแอดมินทำผิดขั้นตอนไปหน่อยฮ่ะ ลืมไปว่าพอซื้อต้นไผ่เงินมาแล้วต้องเอาไปตั้งแล้วก็ให้น้ำสัก 2-3 วันก่อนให้แมวกิน เพื่อให้ปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลงที่ทางร้านอาจฉีดมาละลายออกไปหมดซะก่อน ด้วยความใจร้อนพอซื้อกลับมาแล้วเอาเข้าไปตั้งในกรงปั๊บ ยัยกะทิก็เดินมาดม ๆ แล้วรุมทึ้งปุ๊บเลย..อะไรมันจะยั่วยวนใจขนาดนั้นเลยอ่ะลูกกกก..


โชคดีที่น้องในเฟสเคาะมาบอกว่า..พี่แหม่ม..เค้าบอกให้เอาไผ่เงินให้น้ำไว้ข้างนอกสัก 2-3 วันก่อนนะ ค่อยเอาให้แมวกิน ไม่งั้นละกะทิเอ๊ย..อิ่เจ๊คงให้หล่อนแดร่กปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืชหมดต้นกันเลยทีเดียว

เอาออกมาก่อนโน๊ะทิโน๊ะ แหะ ๆ
จริง ๆ แล้วถ้าไม่อยากเสียงตังค์ซื้อไผ่เงินมาให้แมวแทะ ก็ลองมองหาต้นตำแยแมวที่ขึ้นริมทางดูก็ได้ค่ะ แต่เผอิญว่าอิ่เจ๊มันหาไม่เป็น ก็เลยต้องเสียงตังค์ซื้อซะงั้น

การให้ ไผ่เงิน แมวนั้น อิชั้นว่าควรให้แบบธรรมชาติลงโทษน่ะนะคะ คือ พยายามรดน้ำมันเฉย ๆ อย่าไปใส่ปุ๋ยบำรุงมัน อย่าลืมว่าสารเคมีทุกชนิดที่เราประโคมเข้าไป มันก็จะถูกแมวเรากินเข้าไปด้วย เพราะฉะนั้นรดน้ำอย่างเดียวโล่ด

ส่วนใครที่อุตสาหะจะเพาะหรือขยายพันธุ์ต้นไผ่เงินเอง เค้าว่ากันว่าแค่แยกกอแล้วปลูกลงดินมันก็ขึ้นฮ่ะ พอกิ่งมันยาว ๆ แล้วโน้มทิ่มดิน มันก็จะแตกรากได้เอง เสร็จแล้วเราก็แค่ขุดมาใส่กระถางประเคนให้เจ้านายของเรารับประทานเท่านั้น

ประโยชน์ของต้นไผ่เงินมีเยอะเลยทีเดียวค่ะ อย่างแรกก็คือ ช่วยในการทำความสะอาดระบบทางเดินอาหาร ป้องกันก้อนขนอุดตันในลำไส้ ช่วยป้องกันท้องอืด ช่วยถ่ายพยาธิ และช่วยในการขับถ่ายของแมวเราให้ดีขึ้น

ก็ไม่รู้ว่าอิ่สองต้นที่ซื้อมาจะอยู่ได้นานสักเท่าไหร่อ่ะนะคะ กำลังนึกจะซื้อกระบะมาปลูกขยายพันธุ์อยู่ แต่ยังไม่มีเวลา เดี๋ยวให้ว่าง ๆ ซะหน่อยจะลองแยกกอออกมาจิ้ม ๆ ดู แล้วกลับมาพบกับกะทิและสวนครัวพิเศษในโอกาสโน้นนน..(คงอีกนาน) ก็ละกันเนาะ




เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai




อาหารคนที่แมวไม่ควรกิน


เมื่อตอนที่แล้วแอดมินได้นำเอารายชื่อของอาหารของคนที่แมวสามารถกินได้ด้วยเช่นกันมาฝากกันไปแล้วอ่ะนะฮะ แต่แน่นอนฮ่ะ ในเมื่อแมวมันเป็นสิ่งมีชีวิตคนละสปีชี่ส์กับคนก็ย่อมมีสิ่งที่คนกินแล้วไม่เหมาะกับแมวด้วยเช่นกัน วันนี้เราจะมาดูรายชื่อของอาหารของคนที่ไม่ควรให้แมวกินกันค่ะ ว่ามีอะไรบ้างเพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้อาหารดังกล่าวกับแมวของเราน่ะนะคะ


อันดับแรกก็คือ แอลกอฮอร์ค่ะ แอลกอฮอร์นั้นส่งผลต่อตับและสมองของแมว แมวที่ได้รับเครื่องดื่มแอลกอฮอร์เพียง 2-3 ช้อนชา ก็อาจทำให้ถึงตายได้

อันดับที่ 2 ก็คือ ปลาทูน่า ค่ะ ทูน่านั้นแม้ว่าจะเป็นปลา แต่ก็ไม่ควรให้แมวกินในปริมาณมากและติดต่อกันนาน ๆ เนื่องจากจะทำให้แมวได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ นอกจากนี้แล้วก็แมวของเราก็อาจได้รับสารปรอทมากเกินไปจนทำให้เกิดโรคได้

อันดับที่ 3 ก็คือ นมและผลิตภัณฑ์จากนมวัว สาเหตุเนื่องจากแมวส่วนใหญ่โดยเฉพาะลูกแมวนั้น ยังไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมวัวได้ดีพอ จึงทำให้มีปัญหากับระบบการย่อยอาหาร และทำให้ท้องเสียได้ หากจำเป็น ควรใช้นมแพะ หรือนมสำหรับแมวที่ไม่มีแลคโตส จะดีกว่า

อันดับ 4 เครื่องดื่ม อาหาร ขนม ที่มีคาเฟอิน อาทิเช่น กาแฟ โกโก้ ช็อกโกแลต น้ำอัดลม เครื่องดื่มหรือยาชูกำลังชนิดต่าง ๆ ทราบหรือไม่คะว่าคาเฟอีนในปริมาณมากก็สามารถทำให้แมวถึงตายได้ อาการของแมวที่ได้รับเครื่องดื่มคาเฟอีนเข้าไปก็คือ จะมีอาการหายใจถี่ หัวใจสั่น กล้ามเนื้อกระตุก ชัก และถึงตายได้ในที่สุด

อันดับ 5 ปลาและเนื้อดิบ แม้ว่าแมวจะเป็นสัตว์กินเนื้อแต่อาหารประเภทเนื้อทุกชนิดควรทำให้สุก เนื่องจากอาหารดิบมักจะมีแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้ แถมในปลาดิบนั้นยังมีสารชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ไปทำลายสารไธอามีน ซึ่งทำให้แมวเกิดอาการขาดวิตามิน B1 จนทำให้ิเกิดอาการตัวสั่นและเข้าสู่โคม่าในที่สุด

อันดับ 6  ตับ หากแมวได้รับตับมากเกินไปจะเป็นอันตรายโดยตรงกับกระดูกและข้อต่อส่่วนต่าง ๆ ของแมวค่ะ ทั้งยังเกิดภาวะโรคกระดูกพรุน และภาวะวิตามินเอเป็นพิษ เป็นอันตรายถึงชีวิตได้อีกด้วย

อันดับ 7 หัวหอมและกระเทียม มีสารประกอบจำพวก Thiosulphate มีฤทธิ์ทำลายผนังเซลล์ของเม็ดเลือดแดง ทำให้ไม่สามารถนำออกซิเจนไปใช้ได้เพียงพอ การให้หัวหอมและกระเทียมเพียง 2 ชิ้นต่ออาทิตย์ ก็มีฤทธิ์มากพอที่จะทำให้แมวเกิดอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักลด ซึม ท้องเสีย อาเจียนได้

อันดับ 8 ถั่วแมคคาดิเมียและถั่วบางชนิด แมวที่กินถั่วชนิดนี้เข้าไป จะมีอาการ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง ซี่โครงยุบตัว เป็นไข้ ใจสั่น กล้ามเนื้ออ่อนแรงโดยเฉพาะขาหลัง(อาจรุนแรงจนถึงขนาดเป็นอัมพาต) แม้ว่าอาการจะดีขึ้นหลังกินเข้าไป 72 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ควรให้แมวกินอาหารประเภทถั่วจะดีที่สุดนะคะ

อันดับ 9 มันฝรั่งดิบ มันฝรั่งดิบนั้นมีสารประกอบพวก solanum alkaloids ซึ่งจะทำให้แมวมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย น้ำลายฟูมปาก ถ้ากินในปริมาณมากอาจทำให้เสียชีวิตได้

อันดับ 10 อะโวคาโด ทำให้เกิดอาการปวดท้องอาเจียน หากให้แมวรับประทานในปริมาณที่มาก จะทำให้ตับอ่อนอักเสบ แถมยังมีสาร persin ทำให้หัวใจและปอดแมวทำงานล้มเหลวได้

อันดับ 11 มะเขือเทศดิบ (อันตรายมากกว่ามะเขือเทศสุก) ทำให้เกิดอาการใจสั่น ม่านตาขยาย หัวใจเต้นเร็วและแรงกว่าปกติ

อันดับ 12 องุ่นและลูกเกด อาการที่พบคือ ท้องเสีย อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้องรุนแรง อ่อนแรง และอาจทำให้เกิดอาการไตวายและเสียชีวิตในที่สุด

อันดับ 13 เนื้อติดมันและกระดูก ทำให้แมวท้องเสียหรืออาเจียน แถมกระดูกยังอาจทำให้แมวเกิดปัญหาในระบบขับถ่ายและสำลักได้อีกด้วย

อัึนดับ 14 ไข่ดิบ เนื่องจากในไข่ดิบมีเชื้อแบคทีเรียเช่นกัน อาการที่พบก็คือ แมวจะมีขนร่วง อ่อนแรง ระดับวิตามิน B ลดลงอย่างมาก แมวจะเติบโตช้า กระดูกเติบโตผิดปกติ แม้ว่าไข่ที่ทำให้สุกแล้วจะมีประโยชน์กับแมวเป็นอ่างมาก แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงการให้ไข่ดิบแก่แมวเป็นอย่างยิ่งนะคะ

อันดับ 15 หมากฝรั่งและลูกกวาด ซึ่งมีส่วนผสมของไซลิทอล ทำให้อินซูลีนในร่างกายแมวสูงึ้น น้ำตาลในเลือดจึงต่ำ และจะทำให้เกิดภาวะไตวายตามมาภายในเวลาอันสั้น

อันดับ 16 เกลือ น้ำปลา สารให้ความเค็มเหล่านี้หากใส่ปริมาณมากและให้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็จะทำให้เกิดโรคไตในแมว โรคตับอ่อนอักเสบ โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ได้ค่ะ




ข้อมูลอ้างอิงจากบทความของ Audrey Cook, BVM&S, Dip ACVIM
และ โรงพยาบาลสัตว์เพื่อการเรียนการสอนแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพประกอบจาก webmd.com

อาหารคนที่แมวกินได้


หลาย ๆ คนที่เลี้ยงแมว อาจจะเคยแบ่งอาหารหรือขนมของกินเล่นที่เรากินเองให้แมวได้ลองชิมหรือได้กินด้วยน่ะนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เลี้ยงแมวด้วยอาหารสด หรืออาหารที่ปรุงเอง ไม่ว่าจะเป็นการคลุกข้าวกับปลาทู หรืออาหารที่เป็นของกินสำหรับคนประเภทต่าง ๆ

แต่เพื่อน ๆ ทราบหรือไม่ ว่าอาหารของคนนั้นก็ไม่ได้ดีสำหรับร่างกายแมวไปซะหมดทุกอย่างนะคะ มีอาหารหลายชนิดที่แมวสามารถกินเพื่อดำรงชีวิตและให้ประโยชน์กับร่างกายแมวเช่นเดียวกับคน และมีอีกหลายชนิดด้วยกันที่แมวกินแล้วมีแต่โทษ เราจะลองมาดูอาหารหลายประเภทของคนที่แมวสามารถกินได้กันก่อนค่ะ

อันดับแรกคือ เนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์นั้นเป็นอาหารที่มีประโยชน์ทั้งกับคนและแมว เนื่องจากเนื้ือสัตว์เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง การให้เนื้อสัตว์กับแมวจึงมีความปลอดภัยทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไก่ เนื้อหมู แต่ทุกชนิดที่กล่าวมานั้นควรทำให้สุกเสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงปรสิตที่จะเข้าสู่ร่างกายของแมวด้วยอีกทางหนึ่ง

อันดับสองก็คือ ไข่ค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าไข่นั้นจะมีประโยชน์ต่อแมวมากเช่นกัน เนื่องไข่มีปริมาณโปรตีนที่สูงมากเช่นเดียวกับเนื้อสัตว์ การให้ไข่กับแมวควรทำในรูปแบบต่าง ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น ไข่คน,ไข่กวน,ไข่ต้ม เป็นต้น

อันดับที่สามก็คือ ปลาค่ะ ปลานั้นมีสารอาหารประเภทโปรตีนที่มากเพียงพอสำหรับแมว แต่ก็ไม่ควรให้ในปริมาณที่มากจนเกินไปน่ะนะคะ เนื่องจากปลามีปริมาณของกรดไขมันอิ่มตัวที่สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกปลาดาบ,ปลาแซลมอน,ปลาทูน่า และการให้ปลาแก่แมวก็ควรให้เป็นปลาสุกมากกว่าปลาดิบ เนื่องจากในปลาดิบมักจะมีเอนไซม์ thiaminase ที่จะไปลดประสิทธิภาพของวิตามินบีหนึ่งและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายแมว อีกทั้งยังอาจนำพยาธิเข้าสู่ตัวแมวได้อีกด้วย


อันดับสี่ก็คือ ชีส หรือเนยแข็งค่ะ เนยแข็งนั้นถือเป็นแหล่งรวมของโปรตีนสูงสุด แมวที่โตเต็มวัยแล้ว จะสามารถย่อยแลคโตสได้ (แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่อาจท้องเสียได้หากได้รับอาหารประเภทนมเนย) หากอยากจะให้เขาลองกินก็ลองให้ชิมในปริมาณที่น้อย ๆ ก่อน

อันดับสุดท้ายก็คือ ผัก ค่ะ แมวนั้นสามารถกินพืชผักบางชนิดได้ แม้ว่าจะไม่ต้องการคาร์โบไฮเดรตมากนัก หากต้องการให้พืชผักแก่แมว ก็ควรให้พืชผักที่แน่ใจได้ว่าปลอดภัยและไม่มพิษต่อร่างกายแมว อาทิเช่น แครอทต้ม บล็อกโคลี่ แอสพารากัสนึ่ง ซึ่งพืชผักพวกนี้ถือเป็นไฟเบอร์ที่จะช่วยขับเอาสิ่งแปลกปลอมในร่้างกายแมวออกมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มก้อนขนที่ติดอยู่ในกระเพาะ หลอดลม หรือลำไส้ของพวกเขานั่นเองน่ะนะคะ

ในตอนหน้าของบล็อกยัยกะทิ เราจะมาดูตัวอย่างของอาหารคนที่ไม่ควรให้แมวกินกันบ้างค่ะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ



เรียบเรียงข้อมูลจาก thaiurbancatzzz.exteen.com/20130309/entry
ภาพประกอบจาก jokeroo.com/pictures/funny/kid-cat-and-fish.html




วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

แมวกินอาหารสุนัขได้รึเปล่า


จะบอกว่าตอนแรกที่รับตัวยัยกะทิมา มันมาพร้อมออฟชั่นเสริมเป็นอาหารสุนัข 1 ถุง ??!! และอาหารแมวอีก 1 ถุงฮ่ะ อิ่ตอนแรกอิชั้นก็นึกว่าพี่สาวหยิบถุงอาหารมาให้ผิด แต่ปรากฎว่าพี่สาวบอกเองว่า แมวกินอาหารหมาได้ กินแล้วจะทำให้ตัวใหญ่ อ้วนพี อิชั้นก็เอ้านะ..กินได้ก็ได้ รับตัวมากระทันหันแบบนั้น อะไร ๆ ก็คงต้องให้กินไปก่อนล่ะนะทินะ


ผลปรากฎว่าพอรับยัยกะทิมาได้ 3 วัน อาหารเม็ดสำหรับแมวที่เป็นสมบัติติดตัวมาก็หมดลงฮ่ะ ถึงคราวต้องเอางัดอาหารหมาที่อยู่ก้นลังที่เค้าให้มาออกมาให้กินกันล่ะ แต่แหม..คิด ๆ ไปแล้วก็ประหลาดดีเนอะ เอาอาหารหมามาให้แมวกินเนี่ย ถึงแม้หน้าตามันจะคล้าย ๆ กันก็เหอะ แต่ดูไปดูมาแล้ว มันก็ไม่น่าจะมีสารอาหารที่เหมาะสำหรับแมวอยู่ดีแฮะ

คิดได้ดังนั้น ความคิดที่จะเอาอาหารหมาเทให้ยัยกะทิกินก็เป็นอันล้มเลิกไปฮ่ะ อิชั้นตัดสินใจขับรถเข้าเมืองไปซื้ออาหารแมวโดยเฉพาะมาให้ยัยกะทิ โดยเริ่มจากการลองผิดลองถูก ซื้อถุงเล็ก ๆ ยี่ห้อที่มีทั่วไปในท้องตลาดมาก่อน ผลปรากฎว่ากว่าจะมาลงตัวที่อาหารเม็ดยี่ห้อที่กินในปัจจุบันนี่ได้ ก็ล่อไปหลายยี่ห้อ (กรั่ก ๆ ๆ) เนื่องจากอิ่ 2-3 ยี่ห้อแรกที่ไม่ขอเอ่ยนามนั่นสงสัยจะไม่ถูกปากยัยกะทิ กินน้อยซะเหลือเกิน จนกระทั่งมาถึงยี่ห้อสุดท้ายที่เม็ดเล็กกว่า และดูท่าทางจะกรอบอร่อยกว่า พอเทใส่ถ้วยให้ปั๊บ แค่ไม่ถึง 10 นาทีแม่นี่ก็แดร่กเรียบ..


เอาเป็นว่าด้วยความค้างคาใจ อยากรู้ว่า ตกลงแล้ว ที่เค้าว่ากันว่า ให้อาหารหมากับแมวก็ได้น่ะ มันจริงรึเปล่า เรามาดูข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้กันสักนิดนะคะ

เป็นที่ทราบกันดี (ใครทราบเหรอ ?? ผลั้วะ ๆ ๆ เสียงแอดมินโดนซ้อม แอร๊ยย....T^T) ว่าแมวนั้นเป็นสัตว์กินเนื้อฮ่ะ ดังนั้นอาหารของแมวจึงมักจะมีส่วนประกอบของเนื้อเป็นหลัก โดยมีสารอาหารอื่น ๆ เป็นรอง ในขณะที่สุนัขหรือหมานั่น เป็นสัตว์ที่สามารถกินอาหารได้เกือบทุกอย่าง และมีความสามารถจะเอาชีวิตอยู่รอดได้ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารประเภทเนื้อหรือพืชผักใด ๆ ก็ตาม ดังนั้นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับแมวจึงแตกต่างจากสารอาหารที่สุนัขควรจะได้รับน่ะนะคะ

ส่วนใหญ่แล้วอาหารสุนัขนั้นมักจะมีส่่วนประกอบเป็นเมล็ดข้าวซะเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ดังนั้นจึงมีปริมาณโปรตีนจากเนื้อสัตว์ค่อนข้างน้อย หากแมวได้รับอาหารสุนัขเป็นเวลานาน ๆ จึงมักจะเกิดโรคต่าง ๆ อันสืบเนื่องมาจากการขาดสารอาหารที่จำเป็น โดเฉพาะอย่างยิ่ง ทอรีน แมวที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารสุนัขเป็นเวลานานๆ และไม่ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมจึงมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องหัวใจชนิดผนังหนาตัวแต่ไม่มีแรง ตาบอด ตาฝ้าฟาง ขนร่วง ฟันผุ โตช้า มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ หรือแม้กระทั่งเป็นหมัน ดังนั้นจึงไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่นะซื้ออาหารสุนัขมาให้แมวกิน โดยหวังว่ามันจะทดแทนกันได้ หรือต้องการประหยัดสตางค์ด้วยการให้อาหารสุนัขในปริมาณที่น้อย ๆ แก่แมวน่ะนะคะ


อ้างอิงข้อมูลจาก bloggang.com/viewdiary.php?id=health2u&month=02-2011&date=06&group=8&gblog=252



อาการของแมวเมื่อได้รับพิษจากพืชหรือสารมีพิษอื่น ๆและวิธีรักษาเบื้องต้น


เขียนเพลินเนอะ 555+ ตั้งแต่รับตัวยัยกะทิมาอยู่ด้วยกันนี่ รู้สึกเหมือนตัวเองได้เปิดโลกที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นหลายอย่าง อย่างเช่นเรื่องของพืชพรรณที่แมวสามารถกินได้และกินไม่ได้นี่ล่ะ อิชั้นเองก็เพิ่งจะรู้ว่า แมวเองก็มีสิทธิ์ได้รับพิษจากพืชที่กินเข้าไปได้เหมือนกัน ซึ่งหากน้องแมวเราเผลอกินพืชดังกล่าวเข้าไปแล้ว ก็จะมีอาการหนักเบา มากน้อยต่างกัน โดยจะมีอาการได้ตั้งแต่ ชัก น้ำลายฟูมปาก อาเจียน ทรงตัวไม่ได้ หมดสติ จนถึงขั้นร้ายแรงวิกฤติก็คือมีสิทธิ์เสียชีวิตไ้ด้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพืชพรรณนั้นได้รับการใส่ปุ๋ยหรือฉีดยาฆ่าแมลงไว้ ก็ยิ่งจะทำให้แมวได้รับพิษภัยจากสารเคมีได้โดยง่าย


ทีนี้หากเกิดเหตุการณ์ที่คาดฝัน น้องแมวของเราเกิดมีอาการที่เหมือนกับจะได้รับสารพิษจากต้นไม้่ใบหญ้าหรือสารเคมีที่มันไม่ควรกินเข้าไปล่ะ จะมีวิธีการแก้ไขเบื้องต้นอย่างไรบ้าง

จริง ๆ แล้ววิธีที่ดีที่สุดเมื่อเราทราบว่าน้องแมวของเรากินสารพิษเข้าไป ไม่่ว่าจะเป็นสารพิษจากพืชหรือจากแหล่งอื่น ๆ ก็คือการรีบพาตัวไปพบสัตวแพทย์น่ะนะคะ แต่หากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่สามารถไปพบแพทย์ได้ทันท่วงที อาทิเช่น เกิดเหตุกลางดึก หรืออยู่ไกลจากคลีนิคหรือโรงพยาบาลรักษาสัตว์ เราก็มีวิธีรักษาเบื้องต้นที่จะช่วยพยุงอาการเพื่อซื้อเวลาจนกว่าจะถึงมือหมอได้ดังนี้ค่ะ

1. หากได้รับสารพิษจากการกิน สัตว์จะมีอาการ หายใจหอบ คลื่นไส้ อาเจียน น้ำลายไหลหรือน้ำลายฟูมปาก หากสารพิษมีความระคายเคืองสูง ริมฝีปากจะแดงหรือไหม้ ควรรักษาเบื้องต้น 2 ขั้นตอนด้วยกันคือ

1.1ให้สารที่ทำให้อาเจียน(ป้อนภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังได้รับสารพิษ) โดยเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งจากรายชื่อด้านล่างนี้ ได้แก่

  • 3% ไฮโดรเจน เปอร์ออกไซด์ โดยให้ในอัตราส่วน 1-2 มล./นน.ตัว 1 กก.
  • เกลือแกง ในอัตราส่่วน 1-2 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำก่อนป้อน
  • น้ำเชื่อมไอปิแคท (Ipecac syrup) ในสุนัข ให้ให้ 1-2 มล./นน.ตัว 1 กก. ส่วนในแมว ให้ให้ 3.3 มล./นน.ตัว 1 กก.
ข้อควรระวังก็คือ ห้ามให้ในสัตว์ที่เกิดอาการชัก ไม่รู้สึกตัว หมดสติ หายใจลำบาก หรือได้รับสารพิษที่มีความระคายเคืองสูงเด็ดขาด อย่างเช่น แกมไวด้รับ กรด ด่าง น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำมันก๊าด หรือยาฆ่าแมลงเข้าไป ในกรณีที่กินสารพิษที่มีความระคายเคืองสูง ควรให้น้ำในปริมาณมากเพื่อให้สารพิษเจือจางลง และควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน

1.2 ขั้นตอนที่สองก็คือขั้นตอนของการให้สารที่จะช่วยดูดซับสารพิษค่ะ สารประเภทนี้ได้แก่
  • ผงถ่าน Activated charcoal ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบยาเม็ด (Ultracarbon tablet) ยาผง หรือยาน้ำ ขนาดที่ใช้คือ 1-4 กรัม/นน.ตัว 1 กก. (บดแล้วละลายน้ำ ตัวละ 3-10 เม็ด) ให้ซ้ำในอีก 4-8 ชั่วโมงต่อมา
ซึ่งขั้นตอนนี้ ห้ามใช้ในกรณีที่สัตว์ของเรากินสารพิษในกลุ่มน้ำมันหรือแอลกอฮอร์เข้าไปน่ะนะคะ

นอกจากจะได้รับสารพิษจากการกินเข้าไปแล้ว น้องแมวของเราอาจได้รับสารพิษทางการสัมผัสอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ไม่ควรนิ่งนอนใจและควรรีบทำการรักษาษาเบื้องต้นไว้ก่อนดังนี้

หากเป็นสารพิษที่สัมผัสทางผิวหนัง เช่น สีทาบ้าน ยาฆ่าแมลง น้ำมัน ให้ทำการล้างตัวสัตว์เลี้ยงของเราด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่หรือแชมพูอ่อนร่วมด้วย จากนั้นก็ให้ป้อนด้วยผงถ่านเพื่อป้องกันหากสัตว์เลี้ยงของเราเลียขนและได้รับสารพิษเข้าไปในร่างกาย


หากเป็นสารพิษนั้นเข้าตาแมวหรือสัตว์เลี้ยงของเรา ให้ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำเกลือล้างตาหลาย ๆ ครั้ง โดยล้างจากหัวตาไปหางตา

ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเพียงขั้นตอนปฐมพยาบาลสัตว์เลี้ยงเบื้องต้น หรือขั้นตอนการรักษาในกรณีที่ไม่สามารถพาสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นน้องหมาหรือน้องแมวของเราไปพบแพทย์ได้ทันท่วงทีน่ะนะคะ ที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้ว่าจะได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว ก็ควรรีบพาน้องแมวของเราไปพบหมอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ค่ะ เพื่อให้มั่นใจว่าชีวิตของสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราจะปลอดภัยจากพิษภัยร้ายของสารต่าง ๆ ที่ได้รับเข้าไปภายในร่างกายนั่นเองค่ะ


อ้างอิงข้อมูลจาก siamcountrypet.com
ภาพประกอบจาก mrbigben.com, bellapop.com


พืชผักที่ไม่ควรให้แมวกิน


เมื่อตอนที่แล้วเราคุยกันถึงเรื่องพืชผักบางชนิดที่น้องแมวของเราสามารถกินได้แถมยังมีประโยชน์ต่อร่ืางกายของน้องแมวกันไปแล้วอ่ะนะคะ วันนี้บล็อกยัยกะทิก็จะมาแนะนำรายชื่อของพืชผักบางชนิดที่ไม่ควรให้แมวกิน หรือพืชผักที่มีโทษต่อน้องแมวของเรากันบ้าง เรามาดูรายชื่อพืช ผัก ที่เป็นพิษต่อน้องแมวกันค่ะ


รายชื่อต้นไม้ที่มีพิษต่อน้องแมวมีดังนี้

ราชินีหินอ่อน(ทุกส่วน)
บอนสี
บอสตันไดวี่
ปักษาสวรรค์
อาซาเลีย
ปริกน้ำค้าง
เงินไหลมา
ว่านหางจระเข้
ลิลลี่
หนุมานประสานกาย
สาวน้อยประแป้ง
แดฟโฟดิล
ปริกน้ำค้าง
โป๊ยเซียน
แคลล่าลิลี่
คริสต์มาส โรส
เบญจมาส
สะระแหน่
ไอวี่
ต้นตีนตุ๊กแก
กุหลาบพันปี
บอนเขียว
เงินไหลมา
ฟิโลเดนดรอน
หนวดปลาหมึก
ทิวลิป
ไทยย้อย
พลูฉีก
กกลังกาื
ฮอลลี่
ผลและเมล็ดของปักษาสวรรค์
ดอกลิลลี่ปากแตร
มรกต หรือผักตบ-ทุกส่วน
ผลและใบของต้นเล็บครุฑ
พลูดาวหรือผักดาวตอง-ทุกส่วน
เฟิร์นบอสตัน-ทุกส่วน
ต้นไทรย้อย

แล้วถ้าหากว่าเราเผลอปลูกต้นไม้ที่มีพิษต่อน้องแมวไว้ในบ้าน แล้วน้องแมวของเราดันกินเข้าไปล่ะ น้องแมวจะมีอาการอย่างไร ในตอนหน้าของบล็อกยัยกะทิ เรามาดูอาการของแมวที่โดนพิษจากพืชที่ไม่ควรกินเข้าไปและวิธีแก้ไขเบื้องต้นกันนะคะ


อ้างอิงข้อมูลจาก buatum146.blogspot.com/p/blog-page.html