วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

หากว่าแมวกำลังสบาย จงส่ายหางพลัน ฟรึ่บ ๆ


ช่วงนี้ยัยกะทิยังไม่รู้เงาหัวตัวเองฮ่ะ ว่าอาจจะกลายเป็นอิ่แมวหัวเน่าเนื่องจากมีแมวเด็กมาแย่งความสนใจในไม่ช้า(อิอิ)

วันนี้เป็นวันที่สามที่สองเด็กนั่นถูกฝากเลี้ยงไว้ที่ร้านหมอ ซึ่งตามกำหนดการณ์ของความพร้อม อิชั้นจะมีปัญญาไปรับน้องมาเลี้ยงดูได้ ก็อีก 2 วันข้่างหน้า เนื่องจากต้องเดินทางไปทำธุรที่ต่างจังหวัดให้เรียบร้อยซะก่อน

สำหรับยัยกะทิเอง การใช้ชีวิตเบื้องต้นก็ยังคงรื่นเริงเหมือนทุกวันค่ะ คือตกอยู่ภายใต้ความรักอันล้นหลามของทุกคนในออฟฟิศ ไม่วายเว้นแม้แต่น้อง ๆ นิสิตบนตึกที่ตอนนี้รู้จักกะทิกันเกือบหมดละ

ส่วนใหญ่แล้วยัยกะทิจะได้ออกมาจากกรงก็อิ่ตอนอิชั้นแวะเข้าไปเซ็นต์งานหรือไปดูงานช่วงเที่ยง ๆ จนถึงบ่าย ๆ เท่านั้นน่ะนะคะ ซึ่งระหว่างนั้น กะทิเองจะบันเทิงเริงรมณ์มาก เพราะจะได้กินอาหารเปียกสุดโปรดหนึ่งซอง (ปกติช่วงเย็นจะใส่อาหารเม็ดไว้ให้ในกรง และให้กินเรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะหมดถ้วยในตอนเช้า) แถมยังมีพี่ ๆ ในออฟฟิศเอาใจซะจนเกือบเสียเด็ก


ไอ้เรื่องกินนี่ทิบ่ยั่นฮ่ะ กินแล้วก็ต้องเล่น ปลดปล่อยพลังงานกับพวกพี่ ๆ ให้เต็มที่ แลดูเหมือนออฟฟิศนี้ว่างจุงนะ >0<






ทุกคนรักกะทิกันหมดค่ะ แล้วก็ต้องสอนกะทิให้รักน้องด้วย ^0^



ในตอนหน้าเรามาดูความลั้นลาของยัยกะทิก่อนน้องจะมากันต่อนะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai



วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

หรือนี่คือที่มาของคำว่า "ย้อมแมว" (ไม่)ขาย


ยอมรับตรง ๆ เลย ว่าอิชั้นค่อนข้างหนักใจกับสถานการณ์แมวงอกในช่วงนี้ฮ่ะ เนื่องจากเจ้าแฝดที่รับมาใหม่นี้ยังไม่รู้จะหย่อนปุ๊มันลงตรงไหนดี จะเอาไปใส่กรงยัยกะทิไว้เลยก็ไม่ได้ (เดี๋ยวจะเกิดศึกตบชิงบัลลังก์ขึ้น) จะเอามาไว้บ้านก็ลังเลอยู่ เนื่องจากที่บ้านก็มีเจ้าครีม หมาตัวแสบที่โตขึ้นมาด้วยความคิดฝังจิตฝังใจว่าไม่ชอบแมวอยู่แล้วตัวนึง >0</

ช่วงนี้ซึ่งเป็นช่วงกักกันโรคให้พวกเด็ก ๆ อยู่ที่ร้านหมอ อิชั้นก็ต้องพยายามคิดให้ออกว่าจะเอาอย่างไรดี ที่แน่ ๆ ก็คือ พี่สะใภ้คงจะฝากน้องแมวตัวผู้ที่เลือกให้อิชั้นเลี้ยงไว้ก่อน ตอนนี้ก็เลยหนักใจขึ้นอีกพะเรอเกวียน ว่าอิชั้นจะหย่อนไอ้สองเด็กนี่ไว้ตรงไหนดีฟระ

ระหว่างที่คิด..เมื่อวานนี้อิชั้นก็แอบไปดูพวกเด็ก ๆ มาค่ะ แหะ ๆ...คืออยากจะรู้ว่าหลังจากฝากไว้ให้หมออาบน้ำ ถ่ายพยาธิแล้ว เด็ก ๆ เป็นไงมั่ง..ปรากฎว่าพอโผล่หน้าเข้าไป แฟนหมอก็รีบบอกเลยว่า..

"น้องน่ารักค่ะ..ไม่โวยวายด้วย อยู่กันดีเชียว"

อิชั้นเดินตามไปต้อย ๆ เข้าไปหลังร้าน...แล้วก็พบแมวเด็กแพ็คคู่ที่อยู่ในภาพล่างเน้....


โว๊ะ..อิชั้นตื่นตะลึง นี่มัน..นี่มันไม่ใช่ ขาวมณี นี่นา 5555+ นี่่มันแมวเหลืองผสมแมวเขลอะชัด ๆ ยังไงกันเนี่ย..นี่อาบน้ำแล้วใช่มั้ย ทำไมมันดูดำไปทั้งตัวงี้อ่ะ ดั้งจมูกดำ รูตะหมูกดำ หูดำ ซอกเล็บดำ หัวดำ ตรูดยังดำเลย T^T  555555+ หมายฟามว่าไงเนี่ย.....อิชั้นโดนย้อมแมวอิ่ตอนรับตัวมาเร๊อะ


เจ้าตัวเล็กที่อยู่ด้านหน้าของกรงจ้องอิชั้นตาเขม็งเลยฮ่ะ ไม่รู้จะคุ้นน้ำเสียงอิชั้นหรือยัง เพราะพออิชั้นคุยด้วย ก็จ้องหน้า ตาจิก ประมาณว่าเอาสายตาเข้าข่ม..ซึ่งก็นะ นาทีนั้นอิชั้นโดนความเขลอะแบบน่ารักของมันบดบังไปซะสิ้น..เอาฟระ เหลืองก็เหลือง ดำก็ดำ 5555+ เลี้ยงเลยละกันงี้


โชคดีที่น้องยังมีกันและกันอยู่ฮ่ะ ดังนั้นการพาตัวมากักกันโรคไว้ที่ร้านหมอเป็นแพ็คคู่ จึงคลายความกังวลเรื่องความเครียดของน้องได้อยู่บ้าง งานนี้อิชั้นเห็นชัด ๆ เลยทีเดียวฮ่ะ ว่าสองตัวนี้นิสัยต่างกัน คือเจ้าตัวที่หน้าตอบกว่า ตาจิกกว่าท่าทางจะเป็นตัวผู้ แลดูแสบซ่าไม่เบา ในขณะที่ตัวน้องที่เงียบ ๆ ติ๋ม ๆ ดูเรียบร้อยกว่า ซึ่งสันนิษฐานไว้เล็ก ๆ ว่ามันคงเป็นตัวเมียน่ะนะคะ


ที่สำคัญคืออิ่ตอนรับเด็ก ๆ มาจากบ้านเก่า เจ้าของเดิมเค้าบอกว่าน้องไม่กินอาหารเม็ดนะ(ซวยแล้วตรู) กินอาหารเม็ดไม่เป็น กินได้แต่ข้าวคลุกโน่นคลุกนี่ ซึ่งก็นะ..ถ้ากินอาหารเม็ดไม่เป็นนี่ยุ่งแน่ ๆ เพราะอิชั้นเองเลี้ยงยัยกะทิด้วยอาหารเม็ด,อาหารเปียก ซึ่งเป็นอาหารแมวโดยเฉพาะ ถ้าจะให้มานั่งขยำข้าว คลุกข้าวให้ทุกวัน คงเป็นเรื่องยาก


สถานการณ์ไม่้เป็นเช่นนั้นฮ่ะ เพราะพอพามาฝากร้านหมอ ไอ้เจ้าเด็กสองตัวนี่ เกิดกินอาหารเม็ดเป็นซะงั้น


หมอบอกเด็กๆ กินได้ดีฮ่ะ ที่เห็นเอาหัวจุ่มชามกันทั้งคู่นั่น ก็คือ กินอาหารโชว์อิ่เจ๊นะ..♥♥..(อิอิ...เก่งมากลูก)


สรุปว่างานนี้ น้อง ๆ คงจะอยู่ร้านหมอต่อไปอีก 3 วันค่ะ ซึ่งระหว่างนี้แฟนคุณหมอรับปากว่าจะหัดให้น้องใช้กระบะทรายให้เป็นด้วย ซึ่งดีทีเดียว..เพราะอิชั้นกำลังนึกกังวลอยู่ว่าจะหัดมันยังไงดี เอาเป็นว่าอีก 2-3 วันเราค่อยมาดูกันอีกทีนะคะ ว่าน้องมีพัฒนาการไปถึงขั้นไหน และจะมีแววขาวโอโม่หลังโมดิฟายสู้กับยัยกะทิได้รึเปล่า


แล้วกลับมาพบกับกะทิแอนด์เดอะแกงค์ได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ




เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai


เจ้าข้าเอ๊ย...แมวงอก..


เรื่องของเรื่องก็คือแม้ว่าปัจจุบันนี้ยัยกะทิจะเป็นแมวเลี้ยงเดี่ยว ชนิดโสดแต่ไม่สด คือมีลูกมาก่อนหน้าที่จะพาไปทำหมันหลายครอกแล้วก็ตาม แต่ด้วยความที่แอดมินเลี้ยงกะทิระบบปิด คือมันต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในกรงถึงวันละ 20 ชม.โดยประมาณ อิชั้นก็เลยค่อนข้างจะสงสานยัยกะทิที่วัน ๆ ต้องอยู่แบบเงียบเหงา ไม่มีเพื่อนคู่หูไว้คลอเคลียเหมือนบ้านที่มีปริมาณแมวจำนวนมากกว่าหนึ่งตัวน่ะนะคะ

อย่ากระนั้นเลยฮ่ะ เมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว อิชั้นได้ข่าวมาว่าลูกของยัยกะทิที่พี่สาวให้คนรู้จักไปนั้น ให้ลูกมาอีกครอกหนึ่ง ซึ่งก็นะ...พี่สาวซึ่งรู้ว่าอิชั้นเลี้ยงยัยกะทิได้ดีและมีความสุขก็เลยเอ่ยปากถามว่า จะเอามั้ย..หลานยัยกะทิอ่ะ ถ้าจะเอาเดี๋ยวจะขอให้

ทีแรกอิชั้นก็ลังเลฮ่ะ เพราะการมีแมวงอกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัว นั่นหมายถึงภาระทางใจที่เพิ่มมากขึ้น..เนื่องจากต้องมีความเป็นห่วงและต้องให้การดูแลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ก็นั่นแหละเมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว งานนี้กำไรคงจะตกอยู่กับยัยกะทิมากกว่า เพราะอย่างน้อยมันก็มีหลานแมวเอาไว้คอยอี๋อ๋อคุยด้วย เวลาอิชั้นไม่อยู่ อย่ากระนั้นเลย เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึง 3 เดือนละ ในที่สุด อิชั้นก็ได้ฤกษ์ไปถอยแมวใหม่มาใส่ตึกจนได้อ่ะนะคะ


พอไปถึงปั๊บ..ก็พบว่าอิ่หนูเจ้าหนูทั้งหลายนอนกกกันอยู่ในกรงสภาพโทรม ๆ ที่วางเรี่ยราดอยู่กับพื้นดินหลังบ้านคนเลี้ยงนั่นล่ะ สภาพน่าเวทนามาก เพราะแลดูเลอะ เขลอะไปทั้งตัว มองไม่ออกเลยว่าเป็นแมวเหลืองหรือแมวขาว 555+ T^T  จริง ๆ ลูกของลูกยัยกะทิครอกนี้มีทั้งหมด 4 ตัวนะคะ แต่เชื้่อยายกะทิมันแรว๊งงง..เพราะออกมาเป็นแมวขาวปลอดขนยาว หางยาว หูใหญ่ซะตั้ง 3 ตัว และมีแพ็คแถมเป็นแมวลายสลิดอีก 1 ตัว สรุปก็คือเจ้าของแมวเค้าให้เลือกไป 2 ตัวโดยขยักตัวผู้สีขาวไว้ให้เค้าตัวนึง อิชั้นกับหลานชายที่เตรียมตระกร้าไปใส่ ก็เลยได้ตัวผู้กับตัวเมียสีขาวหางยาวเฟื้อยมาอย่างละตัวซะงั้น (ตั้งใจจะไปเอาแค่ตัวเดียวนะน่ะ)


งานนี้เจ้าหนูสองตัวนี่จะถูกเลี้ยงต่างที่กันฮ่ะ คือตัวนึงจะต้องอยู่กับอิชั้น ส่วนอีกตัวนึง พี่สะใภ้ซึ่งเป็นเจ้าของคนแรกของยัยกะทิจะเอาไปเลี้ยง ซึ่งก็นะ..แอบสงสานเด็ก ๆ เหมือนกันที่ต้องแยกกันอยู่ แต่อย่างน้อย เมื่อมันเปลี่ยนมือมาอยู่กับอิชั้นและพี่สะใภ้ ก็แน่ใจได้ว่าเด็ก ๆ จะต้องมีสภาพชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมแน่ ๆ

แต่ก่อนที่จะพาเด็กสองตัวนี้เข้าบ้านไปเจอกับยัยกะทิ ก็ต้องผ่านขั้นตอนการเก็บตัวก่อนฮ่ะ หลาย ๆ คนคงพอจะทราบกันมาบ้างแล้ว ว่าแมวนั้นมีโรคภัยไข้เจ็บที่ค่อนข้างจะเยอะอยู่พอสมควร และบางโรคก็เป็นโรคที่แฝงตัวมันมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นก่อนที่จะพาแมวเข้าบ้าน ก็ต้องพาไปจัดการถ่ายพยาธิ อาบน้ำ กักกันโรคให้แน่ใจว่ามันจะไม่เป็นพาหะของโรคเสียก่อน

อิชั้นเลือกที่จะพาเจ้าแฝดสองตัวนี้ (เพราะมันเหมือนกันเด๊ะ ๆ ยกเว้นบริเวณใบหน้าซึ่งแตกต่างกันเล็กน้อย) ไปหาหมอที่คลีนิคบ้านรักสัตว์ในเมืองฮ่ะ พอไปถึงก็แจ้งเจตน์จำนงกับหมอ ว่าจะพาน้องมาถ่ายพยาธิ+ทำวัคซีนเข็มแรก แล้วก็อยากจะตรวจดูให้แน่ใจว่าน้องไม่เป็นโรคภัยอันตรายใด ๆ ที่จะนำไปติดยัยกะทิ หมอเค้าก็ดีใจหาย เพราะอธิบายให้ฟังเสร็จสรรพว่าควรกักดูโรคไว้กี่วัน สรุปก็คือ งานนี้อิชั้นต้องเอาเด็ก ๆ ทิ้งไว้ที่หมอ 4 วัน จากนั้นจึงนำกลับไปอนุบาลที่บ้าน ก่อนที่จะพาไปเจอหน้ายัยกะทิที่ตึก และที่สำคัญอาจจะต้องกักตัวไว้ที่บ้านเป็นเดือนเพื่อทำวัคซีนให้ครบ จะได้แน่ใจว่าจะไม่มีโรคภัยไปติดยัยกะทิ

ในตอนหน้ามาดูขั้นตอนแรกของการโมดิฟายพวกเด็ก ๆ กันค่ะ แล้วกับมาพบกับยัยกะทิและแมวถั่วงอกแพ็คคู่นี้กันต่อนะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai




วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

เมื่อเชื้อรากลับมาเยือนยัยกะทิ


โอ้ย..จะบร้าตาย..อุตส่าห์สู้รบปรบมือกับไอ้เชื้อราบ้า ๆ นั่นมาตั้ง 4 เดือน จู่ ๆ มันก็กลับมาเคาะประตูบ้านยัยกะทิโดยไม่ให้สุ่มให้เสียงซะงั้น T^T

เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อประมาณสองอาทิตย์ก่อน อิชั้นสังเกตว่า ผิวหนังบริเวณใกล้ ๆ บั้นท้ายยัยกะทิมีรอยขนแหว่งไปหน่อยนึงฮ่ะ


แหว่งไปหน่อยนึงในที่นี้ก็คือ แหว่งชนิดที่ขนหายไปเลย หลุดไปเลย เหลือแต่ผิวหนังเกลี้ยง ๆ เป็นวง ๆ ความกว้างสักราว ๆ 1 ซม.ได้ (แถมมีรอยคราบน้ำลายเลียเป็นเส้นรอบวงอิ่รอยขนแหว่งปริศนานั่นด้วย) ซึ่งอิชั้นพยายามสังเกตสังกาดูแล้ว ผิวที่ขนหายก็ไม่ได้มีอาการแดงหรือมีรอยแผลแต่อย่างใด ก็ได้แต่นึกในใจว่ามันคงคันแล้วกัดขนแหว่งไปเองมั๊ง


คิดในแง่ดีมาเกือบสองอาทิตย์ฮ่ะ ที่สุดก็ทนไม่ไหวเพราะรอแล้วรอเล่าขนมันไม่ขึ้นซะที แถมมีทีท่าว่าจะค่อย ๆ ขยายวงกว้างมากขึ้นด้วย ที่สุดอิชั้นก็เลยหอบยัยกะทิออกไปให้หมอตูนซึ่งเปิดคลีนิครักษาสัตว์อยู่หน้าตึกดูให้หน่อย ซึ่งคุณหมอที่น่ารักก็ช่วยดูให้ แล้วก็ฟันเฟิร์มว่ามันไม่เป็นอะไรหรอก มันคงคันแล้วก็ทึ้งขนตัวเองแหละ เพราะดู ๆ ผิวแล้วก็ไม่มีอาการข้างเคียงสักกะนิด


อิชั้นก็แอบโล่งใจไปนิดนึงฮ่ะ ที่หมอบอกว่ายัยกะทิไม่ได้เป็นอะไร ได้แต่หวังไว้ในใจว่าอีกหน่อยขนมันขึ้นเองมั๊ง จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อนนี้เอง พี่แอ๋วซึ่งเป็นเจ้าของเก่าคนแรกของยัยกะทิแวะมาหายัยกะทิที่ตึก แล้วก็พายัยกะทิไปตัดเล็บเสริมสวยที่ร้านหมอคนเดิมอีก (จริง ๆ ป้องกันยัยกะทิเล่นแรง ๆ นั่นแหละ เพราะมันไม่ยอมหุบเล็บเวลาเล่น) คราวนี้พี่แอ๋วก็ถามหมอตูนอีกรอบว่าทำไมขนกระทิแหว่งแบบนั้น ซึ่งหมอตูนก็ยืนยันอีกครั้งว่ามันไม่เป็นไรหรอกฮ่ะคุณพี่ ประเด็นสำคัญก็คือ..ขนบริเวณนั้นมันอาจจะไม่ขึ้นอีกแล้วนะ มันจะกลายเป็นอิ่แมวขนแหว่งไปแบบนั้นแหละ อิชั้นได้ฟังพี่แอ๋วขยายความตามนั้น ก็ร้อนใจสิคะ..อะไรฟระ อยู่ดี ๆ จะให้น้องมากลายเป็นอิ่แมวขนแหว่งได้ไง..อิชั้นในฐานะคุณเจ๊ อิชั้นไม่ยอมนะ !!


อย่ากระนั้นเลย หลังจากเคลียส์งาน(ที่ไม่ค่อยจะมี) เสร็จละ เมื่อวานอิชั้นก็เลยเปลี่ยนหมอฮ่ะ คราวนี้จับยัยกะทิลงกระเป๋า ขับรถเผ่นไปหาหมอที่ยัยกะทิฝากพุงทำหมันไว้เมื่อหลายเดือนก่อนในเมืองนู่น พอหมอเห็นผิวยัยกะทิก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ลูบ ๆ คลำ ๆ บั้นท้ายยัยกะทิดูสักพัก ก็ทำหน้ายิ้ม ๆ แล้วก็บอกด้วยอาการใจเย็นว่า

"อาการนี้ก็คือ เชื้อรา แหละครับ"

ห๊ะ..ไรนะหมอ..เชื้อราเพื่อนเก่ายัยกะทิที่เพิ่งเฉดหัวออกจากบ้านไปเมื่อเดือนก่อนน่ะรึ ??!!

"แต่ผิวหนังมันเกลี้ยงนะคะหมอ ไม่มีรอยแดงรอยดำอะไรเลย มันจะเป็นเชื้อราแน่เหรอคะ" อิ่เจ๊ยังดื้อ

"ครับ..ขนร่วงเป็นวงแบบนี้เชื้อราแน่ ๆ ยืนยันพันเปอเซ็นต์.." หมอหัวเราะหึหึ "..ถ้าปล่อยไว้ ขนก็จะร่วงลุกลามไปอีก สรุปก็คือต้องทายานะครับ"

ไอ๊หยา..อิ่เจ๊มันร้องเสียงหลงในใจ นี่ยัยกะทิต้องกลับไปสู่วงจรเดิม ๆ อีกแล้วเหรอเนี่ย  แต่งานนี้อิชั้นเริ่มรู้แกวฮ่้ะ เพราะยัยกะทิทายายากมากกกก..มันชอบเลียยาออกหมดอ่ะ อิชั้นก็เลยต่อรองหมอว่า มีวิธีอื่นที่สะดวกกว่าการทายามั้ย..ที่สุดหมอก็เลยต้องให้เป็นสเปย์พ่นฆ่าเชื้อราบนผิวหนังมาแทนฮ่ะ แต่ก็มีข้อแม้ว่าพ่นแ้ล้วต้องรอให้ยาที่พ่นแห้งสนิทเสียก่อนนะ ไม่งั้นยัยกะทิก็เลียอีก สรุป..หมอก็เลยสั่งจ่ายทั้งสเปย์พ่นยากับตัวคอลล่าสวมหัวมาด้วย


แต่ขอบอกว่างานนี้สงสัยอิชั้นจะเสียตังค์ค่าคอลล่าฟรีฮ่ะ เพราะยัยกะทิไม่ยอมใส่เอาซะเลย ที่สุดอิชั้นก็ได้แต่พ่นยา แล้วชวนน้องเล่นให้ลืม ๆ ไปตามเรื่อง ซึ่งก็นะ..ไม่ค่อยจะได้ผลหรอก เพราะเผลอแป๊บเดียวยัยกะทิก็เลียขนที่พ่นยาไว้ในทันใดอีก >.< สร้างความปริวิตกเป็นห่วงวุ่นวายใจของอิ่เจ๊มันเป็นที่ยิ่ง

สรุปว่ายัยกะทิต้องพ่นยาเช้า-เย็น ติดต่อกันเป็นเวลา 2-3 เดือนเจียวนะคะ.. อิชั้นกำลังนึกอยู่ว่าคงจะใช้การพ่นยาร่วมกับการจับยัยกะทิอาบน้ำทุกครั้งที่มีแดดโผล่แหละ คาดว่าถ้าขยันพ่นยากับซักยัยกะทิด้วยแชมพูไนโซรัลที่เคยใช้มาสักพัก อาการ เชื้อรา ที่มีก็คงดีขึ้น ก็รักษากันไปเนอะกะทิ ดีกว่าเป็นอิ่แมวขนแหว่งตั้งแยะ T^T


เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai